Thursday, October 11, 2007

วังวนของปุถุชน

โอ ท่านเทพ Kitty ช่วยลูกด้วย ...

เมื่อวันก่อนจู่ๆฉันก็นึกตำหนิตัวเองขึ้นมาอย่างแรง

สาเหตุน่ะเหรอ ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเเองห่างเหินจากธรรมะไปมาก สติหลุดหายไปกู่ไม่กลับ ไอ้นิสัยไม่ดีเก่าๆมันเริ่มกลับมาอีกแล้ว พอรู้ตัวอีกทีเลยรู้สึกตกใจว่านี่เราหลุดขนาดนี้เลยหรือ

มิน่าคนถึงพูดกันว่านิสัย สันดานเนี่ยมันเปลี่ยนยากจริงๆ ต้องใช้ความตั้งมั่นอย่างมากถึงจะจะเปลี่ยนมันได้

ตั้งแต่ต้นปีมานี้ฉันตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่ดีหลายๆอย่างในตัว อันได้แก่เรื่องต่อไปนี้

- ฉันเป็นคนอีโก้สูง เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ยอมรับความคิดคนอื่น ทนเสียงวิจารณ์ไม่ค่อยได้ หัวแข็งอีกต่างหาก
- เพอเฟคชั่นนิส ชอบตำหนิคนอื่น
- เกลียดการถูกเอาเปรียบที่สุด บางครั้งก็ให้อภัยคนยาก
- ไม่ยืดหยุ่น ถ้าวางแผนทำอะไรแล้วไม่เป็นไปตามนั้นจะหงุดหงิดมาก
- ใจร้อน อยากได้อะไรต้องเดี๋ยวนั้น ต้องรู้ดี๋ยวนั้น
- คิดมาก โลเล ขี้เกียจ
- ฟุ้งซ่าน กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ชอบคิดไปเองก่อน พอไม่เป็นอย่างที่คิดก็จะเสียใจ ผิดหวัง เศร้า
- แคร์คนอื่นมากเกินไป ขี้น้อยใจ บางครั้งก็ขี้เกรงใจจนไม่กล้าพูดความจริง


ฉันว่าวิธีการแก้นิสัยที่กล่าวมาทั้งหมด อยู่ที่การปล่อยวาง อย่ายึดติดว่าเป็นตัวเราของเรา

ถ้าฉันสามารถระลึกได้ตลอด ว่าไอ้ตัวเราและสิ่งรอบๆตัวเราเนี่ย มันเป็นสิ่งสมมติขึ้นทั้งนั้น ฉันก็จะคลายความยึดติดต่อสิ่งต่างๆไปได้ และฉันก็จะสามารถขจัดนิสัยที่ไม่ดีที่ทำให้ฉันเป็นทุกข์เหล่านี้ออกไปได้

ส่วนเรื่องสติเนี่ย ฉันคงต้องฝึกจากการนั่นสมาธิ แต่พอคิดจะเริ่มทีไรก็ขี้เกียจขึ้นมาซะงั้น มักจะหาข้ออ้างร้อยแปดที่จะไม่ทำมัน

เพราะเหตุนี้ ฉันจึงรู้สึกสมเพชตัวเองว่า เรานี่มันก็แค่ปุถุชนคนธรรมดาคนนึง ที่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้

ที่ฉันอยากเปลี่ยนนิสัย คงเป็นเพราะหลังจากไปพบหมอพีร์เมื่อเกือบ 1 ปีมาแล้ว เขาบอกฉันว่าถ้าฉันสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ ฉันก็จะสามารถทำชีวิตให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้

ฉันอยากจะลองพิสูจน์นะว่าถ้าฉันเปลี่ยนตัวเองได้จริง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

นี่ยังไม่ทันจะครบปี ทำท่าจะกลับไปเป็นแบบเก่าอีกแล้ว นี่ฉันคงต้องเรียกสติกลับมาอีกรอบ เรียกความตั้งใจเดิมกลับมาอีกที

เอาวะ เริ่มต้นใหม่อีกที สิบปียังไม่สาย

Tuesday, October 2, 2007

Cochem รำลึก



ไม่รู้ทำไมจู่ๆฉันก็คิดถึงเมืองCochem ขึ้นมา อาจเป็นเพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันคุยเล่นกับพ่อเรื่องเที่ยว คุยไปคุยมาก็โยงถึงถึงเหตุการณ์ตอนไปเที่ยวทริปนี้

เมื่อเช้านี้ฉันเพิ่งจะมาระลึกได้ว่านี่มันครบรอบสองปีพอดีเลยนะเนี่ย ตอนนั้นฉันเดินทางช่วงวันที่1-3 ตค.พอดี

ไม่รู้สิ ในบรรดาการเดินทางทั้งหลายของฉัน ทริปนี้เป็นทริปที่ฝังใจจริงๆ เพราะมันเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ทำให้ฉันประทับใจไม่รู้ลืม

ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ช่วงระหว่างที่ฉันไปเรียนงานที่ Hamburg เมื่อไรที่ว่าง ฉันทุ่มโหมหนักกับเรื่องเที่ยวมาก สรรหาที่ไปได้ทุกอาทิตย์เลยทีเดียว อาจเป็นเพราะสมัยตอนที่ยังเป็นนักเรียน ยังไม่มีรายได้นั้น ฉันไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าที่ควร นี่อุตส่าห์ได้กลับไปอีกรอบ ฉันจึงควรตักตวงโอกาสนี้อย่างเต็มที่


เมืองCochemเป็นเมืองที่ฉันเจอโดยบังเอิญในเวปไซด์ท่องเที่ยวล่องแม่น้ำไรน์ ฉันเห็นรูปแล้วก็อยากไปในทันทีเพราะสวยมากๆ ด้วยความที่คิดว่ามันเป็นเมืองเล็กๆ คงไม่ค่อยมีคนรู้จัก ฉันจึงไม่ได้จองที่พักล่วงหน้าไว้

ปรากฎว่าพอไปถึงCochem ตอนเกือบเย็นๆ ฉันค้นพบว่ามันเป็นเมืองท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงมาก (ที่ฉันไม่รู้จัก) นักท่องเที่ยวประมาณล้านแปด ทำให้ที่พักเต็มหมด ฉันกับเจ้าแป้ง น้องผู้ร่วมทางก็พยายามโทรถาม Youth Hostel ใกล้เคียงเพื่อหาที่ซุกหัวนอนในคืนแรก ปรากฏว่าแถวข้างเคียงก็เต็มหมด ตอนนั้นรู้สึกโทษตัวเองมากว่าทำไมไม่จองที่พักก่อนวะเนี่ย ว่าไปแล้ว ฉันลืมนึกไปว่ามันเป็นวันหยุดยาวด้วย เลยนิ่งนอนใจคิดว่าที่พักคงหาได้ง่ายๆ

ขณะที่ความหวังเริ่มริบหรี่ลงทุกทีๆ โทรไปที่ไหนก็เต็มหมด ที่สุดท้ายที่โทรไปคือ Youth Hostel ที่ Koblenz ปรากฏว่า มีที่พักว่าง !!!

ฉันและแป้งรีบปรี่ขึ้นรถไฟเพื่อย้อนกลับไปKoblenzทันที ตอนนั้นเริ่มมืดแล้ว ฉันอยากไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด อารมณ์ตอนนั้นมันเหนื่อยเหลือเกิน อยากกระโดดขึ้นเตียงเต็มทีแล้ว


แป้งโทรถามทางกับพนักงานซึ่งเขาก็บอกว่าจากป้ายรถเมล์เดินไปแค่30นาทีก็ถึง พอลงรถเมล์ฉันกับแป้งก็เริ่มเดินไปตามทางที่ดูเหมือนจะขึ้นเขาเรื่อยๆ ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มแล้วล่ะ ถนนค่อนข้างมืดและเงียบ จำได้ว่าเดินผ่านสุสานอีกต่างหาก(ไม่เข้าใจว่าสุสานโผล่มาตอนนั้นทำไมวะ จะมาbuildบรรยากาศกันไปถึงไหน) เดินกันไปประมาณ15นาทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นที่พักเลย ทางก็ชันขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มถอดใจนิดหน่อย คิดว่าถ้าไม่ไหวจริงๆเราคงจะเดินกลับมาพักโรงแรมเล็กๆแถวนี้ดีกว่า

ขณะที่เดินอย่างไม่แน่ใจในจุดหมายปลายทาง จู่ๆฉันก็ได้ยินเสียงรถคันนึงขับมาจากข้างหลัง มันผ่านพวกเราไป แต่แล้วก็ชะลอหยุดและจอดเบื้องหน้าพวกเรา มันเป็นรถตู้โฟล์คเก่าๆสีขาว ฉันเริ่มระมัดระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แถวนั้นไมมีใครผ่านไปมาเลย มีแต่ฉันกับแป้งเท่านั้น

พอเราเดินไปใกล้รถคันนั้น ฉันเห็นคนขับไขกระจกลงมา เป็นคุณลุงแก่ๆคนนึง เขาถามพวกฉันว่าจะไป Youth Hostel กันเหรอ ฉันตอบว่าใช่ เขาเลยพูดว่ามันไปอีกไกลมาก ขึ้นรถเขาเถอะ เขาจะไปส่งให้


ณ ตอนนั้นฉันแทบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ในเมื่อไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกนานเท่าไร ฉันขอยอมเสี่ยงตายกับคุณลุงนี่แหละ เจ้าแป้งก็คิดตรงกันกับฉันอย่างไม่ได้นัดหมาย เราสองคนขึ้นรถตู้ของคุณลุงแทบจะในทันที


ปรากฏว่าคุณลุงขับขึ้นไปเรื่อยๆเป็นทางที่ชัน ไกล และวกวนมากๆ ฉันกับแป้งอึ้งเงียบไปเลย นี่มันใช้เวลาเดินมากกว่า 30 นาทีแน่นอน ฉันว่ามันอาจกินเวลาหลายชั่วโมงทีเดียว

หลังจากขับวนไปวนมาซักพัก คุณลุงก็จอดรถ ฉันมองออกไป เบื้องหน้าฉันคือหน้าประตู Youth Hostel Koblenz ซึ่งเดิมเคยเป็นปราสาทสมัยโบราณ ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงเป็นที่พัก ฉันอยากร้องออกมาดังๆว่าในที่สุด ตูก็มาถึงจนได้


ฉันแทบลงกราบคุณลุงด้วยความตื้นตัน ถ้าไม่ได้คุณลุงคนนี้ ฉันคิดไม่ออกจริงๆว่าเราจะมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร

พอคุณลุงจากไป เจ้าแป้งบอกฉันว่าคุณลุงจะต้องเป็นเทวดาประจำตัวของพวกเราแปลงกายมาช่วยแน่เลย


ฉันแอบเชื่อนิดหน่อยนะเนี่ย เพราะคุณลุงช่างโผล่ออกมาได้เวลาเหมาะพอดี

พอตอนเช้าเราทั้งสองเดินลงจากปราสาทแห่งนี้ เราค้นพบว่าจากป้ายรถเมล์ เราเลือกเดินกันผิดทาง ซึ่งมันเป็นทางที่อ้อมโลกมากๆ ถ้าเราเดินไปอีกทางหนึ่ง เราจะสามารถเลาะกำแพงปราสาทและถึงที่หมายได้ง่ายกว่ามาก (แต่ยังไงฉันว่ามันก็ยังใช้เวลามากกว่า 30 นาทีนั่นแหละ)

โชคดีที่คืนต่อมาเราสามารถหาที่พักที่ Cochemได้ ฉันเลยลาจาก Koblenz ด้วยความรู้สึกที่ประหลาดใจปนๆกับความประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้


เหตุนี้เองCochem จึงกลายเป็นทริปที่ลืมไม่ลงจริงๆ

Monday, October 1, 2007

ชีวิตหลังเอเอฟ 4



ไม่รู้ว่า Blog เริ่มจะเน่าหรือยัง เพราะไม่ได้อัพมานานพอสมควร

ชีวิตหลังจบเอเอฟสี่ที่คาดว่าจะกลับมาสงบสุขเหมือนเดิมก็ยังไม่ซะทีเดียว ฉันยังคงข่าวคราวของน้องอยู่เป็นระยะๆตามเวปบอร์ดพันทิพ และJMCบอร์ด ได้เห็นตารางงานแน่นเอี๊ยดของน้อง รวมทั้งอัลบัมหมู่ X-treme Army หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าขบวนการมนุษย์ไฟฟ้าห้าสีนั่นแหละ

บอกได้คำเดียวว่าสลดใจ

ไม่เข้าใจจริงๆว่าอะไรดลใจฝ่ายคอสตูมให้คิดคอนเซปท์หลุดโลกอะไรแบบนั้น เหมือนย้อนไปสมัยอาร์เอสเมื่อ10ปีที่แล้ว ขนาดว่าฉันไม่ใช่แฟชั่นกูรูยังสามารถบอกได้ว่ามันดูเฉิ่มและเชยมาก นี่ถ้าไม่ใช่คนใส่หน้าตาดีเป็นทุนอยู่แล้วนี่นึกไม่ออกจริงๆว่าจะเอน็จอนาถขนาดไหน ส่วนเรื่องเพลงก็ทำออกมาได้ธรรมดา ไม่ได้ดึงเอาศักยภาพของแต่ละคนออกมาได้อย่างเต็มที่เลย
โดยรวมคือเซ็งกับอัลบัมชุดนี้

มาที่เรื่องอื่นกันบ้าง ตอนนี้ฉันกำลังทำ Project ชิ้นใหม่ เป็นงานที่ยังไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือทำ MV ให้งานแต่งงานของเพื่อน

งานนี้เป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะทำยากกว่า presentation ภาพนิ่งที่เคยทำมาแล้ว การทำ MV เป็นการทำงานกับภาพเคลื่อนไหว จะต้องมีการผูกเรื่อง ออกแบบท่าทาง มีการตัดต่อภาพที่เนียน ดูเป็นเรื่องเดียวกัน ส่วนที่ต้องร้องเพลงก็ต้องให้ตรงกับเพลงที่ใส่จริงๆ มันซับซ้อนกว่าภาพนิ่งมาก

แต่ก็นะ บางครั้งเรื่องยากๆมันก็แฝงความท้าทายในขณะเดียวกัน ฉันเองก็เป็นคนชอบทำเรื่องยากๆ อยู่แล้วด้วย

เริ่มต้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันใช้เวลา 1 วันถ่ายทำวีดีโอทั้งหมด โดยเราไปยังสถานที่2-3 แห่ง อุปกรณ์คือกล้อง Canon ของฉันนั่นแหละ พล๊อตเรื่องในหัวฉันก็พอมีอยู่ แต่ก็แค่คร่าวๆเท่านั้น ฉันกะว่าถึงตอนนั้นคิดอะไรออกก็ลองถ่ายไปเลย ฉันถือหลักว่าพยายามถ่ายออกมาหลายๆมุม ภาพจะได้หลากหลาย และฉันถ่ายสำรองไว้เยอะทีเดียว จะได้มีเผื่อไว้เลือกใช้ได้หลายๆโอกาส
ตอนนี้อยู่ในช่วงเรียบเรียง ตัดต่อ ซึ่งเป็นช่วงที่ยากที่สุด เพราะเหมือนฉันต้องเอาวัตถุดิบทั้งหมดที่มีมากองรวมกัน แล้วเลือกจะใช้อันไหน ไม่ใช้อันไหน

อย่างที่บอกคือฉันถ่ายสำรองไว้เยอะ ดังนั้นฉันต้องมานั่งดูวีดีโอทุกอัน แล้วเลือกว่าจะเอาอันไหนมาใส่ตอนไหน เพื่อให้เรื่องราวทั้งหมดออกมาเนียนเป็นเรื่องเดียวกัน
ฉันตั้งใจว่าสุดสัปปดาห์นี้จะทำให้เสร็จ เพราะถ้าทิ้งไว้นานความขี้เกียจจะมาเยือน ตอนนี้ไฟกำลังแรง ไอเดียกำลังกระฉูดอยู่ ควรต้องรีบทำให้เสร็จ

ถ้าทำสำเร็จมันคงเป็นงานอีกชิ้นที่ทำให้ฉันภูมิใจนะเนี่ย ภาวนาให้ฉันทำสำเร็จละกัน