Saturday, October 25, 2008

The Secret of เพื่อนเจ้าสาว at งานสัปดาห์หนังสือ with Aston27

หัวข้อเรื่องไม่มีความหมาย แค่เอาkeywordเนื้อหาที่เขียนมารวมกันเป็นหัวข้อเดียวกันเท่านั้นเอง

และแล้วงานสัปดาห์หนังสือก็เวียนมาบรรจบอีกรอบ คราวนี้จัดเร็วกว่าปกติคือเป็นช่วงกลางเดือนตุลาคม ต่างจากปีก่อนๆซึ่งมักจะจัดปลายเดือนตุลาคม ตอนแรกฉันลังเลที่จะไป เนื่องด้วยหนังสือที่ซื้อมาต้งแต่ปีมะโว้ยังอ่านไม่หมดเลย แต่แล้วก็อดใจไม่ไหว เลยต้องขอลางานครึ่งวันแวะไปซะหน่อย ก่อนที่จะไปฉันทำการบ้านโดยการแวะไปร้านหนังสือแถวบ้านแล้วเล็งๆไว้ว่าเล่มไหนน่าสนใจ กะจะไปสอยในงานในราคาที่ถูกกว่า

ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่าคนน้อยกว่าทุกๆครั้งนะ สงสัยงานจะมีบ่อยไปมั้ง คนคงซื้อหนังสือกันเยอะช่วงต้นปี พอปลายปีเลยยังอ่านไม่หมด คราวนี้ฉันกลับได้หนังสือที่ไม่ได้แพลนว่าจะซื้อ ส่วนหนังสือที่ตั้งใจว่าจะซื้อก็เกิดเปลี่ยนใจกระทันหัน ฉันสังเกตว่าช่วงนี้จุดขายของหนังสือจะวนเวียนอยู่ประมาณ The Secret, Top secret เรื่องมายาจิต แรงดึงดูด แรงจูงใจ พลังจิตใต้สำนึก อะไรๆเทือกนั้น The Secret นี่ฉันไม่เคยอ่านแต่เห็นเพื่อนอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง ฉันว่ามันเป็นส่วนเสี้ยวนึงที่ทางพุทธศาสนามีกล่าวไว้ในเรื่องของจิต ประมาณว่าให้คิดแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นกุศล ในทางพุทธสอนว่านอกจากคิดแล้ว ให้ตามรู้ความคิดที่เป็นกุศลและที่เป็นอกุศลนั้นด้วย สุดท้ายก็จะเห็นว่าจิตมันเกิดและดับอยู่ตลอด เป็นอนิจจัง

ทฤษฎีของ The Secret คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เท่าไรสำหรับคนที่ฝึกจิตและสติตามหลักของศาสนาพุทธอยู่แล้ว

กลับมาที่งานหนังสือดีกว่า ฉันว่าบูธที่ไม่ว่ามากี่ปีๆก็คนแน่นตลอดนี่ยกให้สนพ.แจ่มใสไปเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กวัยรุ่นถึงได้มุงกันอย่างกับว่าเขาแจกฟรีงันแหละ แทบจะปีนขึ้นไปบนกองหนังสือเลย นิยายมันสนุกขนาดนั้นเลยรึ

สำหรับครั้งนี้ฉันได้หนังสือที่ดีมากมาเล่มนึง ชื่อไทยว่า "หิมะในฤดูร้อน" แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ Snow in the Summer ของพระชาวพม่าชื่อท่านสยาดอ อู โชติกะ หนังสือนี้เป็นการรวบรวมเอาจดหมายหลายๆฉบับที่ท่านเขียนถึงลูกศิษย์มาตีพิมพ์ เป็นหนังสือที่อ่านง่าย และเนื้อหาหลากหลาย เหมาะกับฆราวาสแบบเราๆ

ฉันเดินอยู่ประมาณสามชั่วโมงก็รู้สึกหมดแรง เลยตัดสินใจกลับ หลังจากกลับจากงานก็ระลึกได้ว่ายังมีหนังสือที่ลืมซื้อคือหนังสือของคุณ aston 27ชื่อ ธนาคารความสุข จำได้แว๊บๆว่าเดินผ่านบูธของพรีมา แต่ทำไมตอนนั้นมองไม่เห็นหนังสือวะเนี่ย เย็นวันนั้นเข้าไปอ่าน Blog ของคุณaston 27แล้วเห็นเขาเขียนว่าจะไปแจกลายเซ็นต์วันที่23 เอาวะ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะไปอีกรอบ ซึ่งก็เป็นวันสุดท้ายของงานพอดี

ตอนเช้านัดกับแหม่มไปวัดตัวเพื่อตัดชุดเพื่อนเจ้าสาว ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันจะพาไปร้านแถวบางลำพู เจ้าของเป็นคุณป้ามีอายุหน่อย แต่งตัวแบบผ้าลูกไม้ เอาแบบชุดจากหนังสือแนวๆขวัญเรือนมาให้ฉันเลือก

โอ พอไปถึงร้าน เห็นเจ้าของร้านเป็นชายผมเกรียน ใส่เสื้อเชิ๊ตสีชมพูบานเย็นเปิดกระดุมแหวกหน้าอก แหวนเพชรวูบวาบเต็มมือ ภาพนี้ตรงตรึงใจฉันมาก พี่เขาออกแบบชุดให้ฉันโดยให้ธีมคล้ายๆกับชุดของน้องจูน เพื่อนเจ้าสาวอีกคนซึ่งสูงส่งกว่าฉันในทุกๆด้าน ฉันไม่คิดมากเพราะไม่มีอะไรไปสู้กับน้องเขาอยู่แล้ว เลยไม่รู้สึกกดดันอะไร ชุดอะไรฉันก็ใส่ได้ทั้งนั้นแหละ

จากนั้นเราก็ไปวังหลังกันเพื่อไปดูสถานที่จัดงานนั่นคือ ภัทราวดีเธียเตอร์ แล้วก็ไปกินร้านส้มตำที่ไม่รู้ทำไมคนถึงแน่นได้ตลอดเวลา เสร็จธุระฉันก็ขอตัวไปงานหนังสือ ตอนนั้นกะว่าซื้อเล่มเดียวแถมรูบิคอีกอัน แล้วกลับเลยเพราะรองเท้ากัด รู้สึกเจ็บเท้ามากๆ ไม่อยากเดินอีกแล้ว อยากถอดรองเท้ามากๆ ถ้าเดินเท้าเปล่าได้ทำไปแล้ว

พอถึงศูนย์ประชุม สงสัยฝนเพิ่งจะตกไปเพราะเฉอะแฉะไปหมด เท้าก็เจ็บ รีบจ้ำไปในงาน โห คนเยอะจริงๆ ฉันไม่เคยมางานวันเสาร์อาทิตย์เลย ส่วนใหญ่จะมาวันธรรมดา เห็นแบบนี้นึกออกเลยว่าถ้ามาวันหยุดสงสัยจะซื้อไม่ได้สักเล่ม หมดอารมณ์ซะก่อน คนเยอะแบบนี้จะไปเลือกดูอะไรได้ แอบห่วงบูธแจ่มใสว่าป่านนี้พังไปรึยัง

ฉันตรงไปซื้อรูบิคแล้วก็ไปยังบูธพรีม่าทันที อืม คนไม่ค่อยเยอะ เห็นคุณaston 27ก้มหน้าก้มตาเซ็นต์หนังสือกองนึง ฉันก็ขออุดหนุนด้วยหนึ่งเล่มพร้อมลายเซ็นต์ ปกติเวลาขอลายเซ็นต์นักเขียนท่านจะเซ็นต์เร็วๆ ตัวใหญ่ๆ ฉันยืนมองอยู่ เขาเซ็นต์ให้แบบตั้งใจมากประหนึ่งเขียนเฟรนด์ชิป มีวาดรูปด้วย ดูเป็นผู้ชายกุ๊กกิ๊กดีนะ แต่ฉันก็พอเดาหรอกจากเรื่องที่เขาเขียนใน Blog ของเขา จะว่าไปฉันอ่าน Blog คุณaston 27 ตั้งแต่วันแรกที่เขาเขียน Blog ตามอ่านมาตลอด บางช่วงห่างหายเพราะยุ่งๆ ต้องมานั่งอ่านย้อนกันหลายตอนทีเดียว

จะว่าไปBlogของเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันอยากเขียนBlogของตัวเองบ้างนะ ฉันมันพวกช่างคิด บางครั้งเรามีเรื่องอยู่ในใจซึ่งก็ไม่มีใครเข้าใจหรอก ไม่ได้อยากเล่าให้ใครฟังด้วย นอกจากตัวเอง การถ่ายทอดออกมาผ่านBlogมันก็ทำให้เราเห็นว่า ณ ตอนนั้นเราคิดอย่างไรกับเรื่องๆนึง ซึ่งความคิดคนเรามันเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและประสบการณ์ ฉันคิดว่าจะเขียนไปเรื่อยๆ สักวันฉันอาจจมีหนังสือเป็นของตัวเองซักเล่มก็เป็นได้

Saturday, October 4, 2008

นิทานประเทืองปัญญา



ช่วงนี้ฟังรายการวิทยุภาษาผ่านสื่อ ของWisdom Radio ทุกวัน มีวันนึงผู้จัดรายการเล่านิทานเรื่องนึงในรายการ ฟังแล้วน่าสนใจดี

ณ ประเทศอินเดีย เด็กชายปัญญาซื้อแพะกับชาวบ้านคนนึงในราคา 1000รูปี ชาวบ้านรับเงินไปและสัญญาว่าจะเอาแพะมาให้ในวันรุ่งขึ้น ปรากฎว่าเมื่อถึงเวลาส่งมอบแพะ ชาวบ้านบอกเด็กชายว่า

"เสียใจด้วยนะ แพะได้ตายเสียแล้วเมื่อคืน"
"ถ้าอย่างนั้นท่าโปรดคืนเงินให้ผมด้วย"
"คงไม่ได้ละ เพราะฉันใช้เงินไปหมดแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นโปรดมอบแพะที่ตายแล้วให้กับผม"
"แพะนั่นตายไปแล้วนะ เจ้าจะเอาไปทำอะไร"
"ไม่เป็นไร นำมาให้ผมเถิด"

ชาวบ้านได้มอบซากแพะให้เด็กชายปัญญาไป หลายวันต่อมาชาวบ้านผู้นี้ได้พบเด็กชายปัญญา จึงถามว่า
"เจ้าหนู ตกลงเจ้าเอาซากแพะไปทำอะไร"
"ผมก็ทำสลากสองร้อยใบ ใบละ 50รูปี ไปขายที่ตลาด โดยประกาศว่าผู้ใดจับสลากได้รางวัลที่หนึ่งจะได้แพะไป ผมขายสลากได้หมด ได้เงินมา หนึ่งหมื่นรูปี"
"แล้วคนที่ได้รางวัลที่หนึ่งเขาไม่โวยวายหรือที่ได้แพะตาย"
"เขาก็โวยวายนะ ผมก็แค่คืนเงินให้เขา 50รูปี ก็เท่านั้นเอง"