Sunday, August 26, 2007

ความฝันบ้าๆ

หลังจากอ่านหนังสือเรื่องความฝันโง่ๆของวินทร์ เลียววาริณจบ ฉันนึกถามตัวเองว่านี่เรามีความฝันบ้าๆอะไรที่อยากทำบ้างมั้ย

จู่ๆความคิดนึงก็แวบขึ้นมา

ฉันเคยฝันว่าอยากมีหนังสือของตัวเองซักเล่มนึง (เล่มนึงเป็นอย่างน้อย ที่จริงมีหลายเล่มก็ได้ ยิ่งดี)

เรื่องราวที่เขียนขอเป็นอะไรที่ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองชีวิต ประสบการณ์ต่างแดน หรือเกร็ดท่องเที่ยว อะไรประมาณนั้น

มันดูเป็นความฝันบ้าๆ เพราะฉันเองไม่ได้เรียนจบหรือทำงานในสาขาวารสารหรือสิ่งพิมพ์เลย ฉันไม่รู้จักสำนักพิมพ์ที่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี

ตอนนี้ สิ่งที่ฉันพอจะทำได้คือ การถ่ายทอดความคิดลงบล๊อคอันนี้ อยากเขียนอะไรก็เขียน เผื่อว่าสักวันนึงฉันอาจจะคัดเรื่องดีๆน่าสนใจมารวมเล่มขายได้

ความฝันบ้าๆอีกอย่างของฉันคือการเดินทางดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทั้งเจ็ด ซึ่งที่ผ่านมาฉันเคยเห็นแค่ StoneHenge กะตาแห่งเดียวเท่านั้น

ฉันเพิ่งได้รู้ว่าตัวเองชอบการเดินทางนะ คนอย่างฉันอยู่กับที่ไม่ค่อยได้หรอก เดี๋ยวความรู้สึกมันก็บอกว่านี่ควรจะไปไหนซักที่ได้แล้วนะ

ฉันเป็นพวกประเภทเที่ยวแบบลุยๆ เดินเยอะๆ เวลาเที่ยวทีฉันเดินได้ทั้งวันเลยนะ ฉันชอบดูชีวิตผู้คน ชมสถาปัตยากรรม และก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศให้ได้มากที่สุด

เวลาเที่ยว ฉันมักไม่ทำสิ่งต่อไปนี้คือ ถ่ายรูปตัวเองทุกหัวมุมถนน ทุกอิริยาบท ช๊อปปิ้งซื้อของอะไรมากมาย กินอาหารในภัตตาคาร ทั้งหลายที่กล่าวมานี้ มันไม่ใช่จุดประสงค์ในการเดินทางของฉันเลย

การเดินทางที่คุ้มค่าคือเราได้เห็นอะไรที่เป็นจิตวิญญาณของสถานที่นั้นๆให้ได้มากที่สุด

ความฝันบ้าๆของฉันยังไม่หมดแค่นี้หรอก ไว้เมื่อไรนึกขึ้นได้จะมาเขียนต่อ

Friday, August 24, 2007

การเดินทางของความรัก


ภาพประกอบ: เมืองGengenbach Germany ที่ฉันเคยอยู่เกือบสองปี

เมื่อวานฉันได้รับอีเมลที่เหมือนกันถึงสามครั้งส่งจากคนสามคน เป็นลิงค์เกี่ยวกับคลิปวีดีโอการขอแต่งงานออนไลน์ของชายหญิงคู่หนึ่ง โดยในสามเมลนั้นมีหนึ่งเมลที่มีข้อความเขียนเน้นว่าโรแมนติกมากๆ
ดูจากในคลิปก็พอเข้าใจอารมณ์ของคนที่อยู่ ณ ที่นั้นว่าตื่นเต้นดีใจเพียงใด คนดูบางคนก็อาจมีอารมณ์ไปด้วย โดยเฉพาะคุณผู้หญิง คงอดคิดไม่ได้ว่าชาตินี้จะมีคนทำแบบนี้ให้เราบ้างไหมนะ พอดูจบฉันกลับรู้สึกเฉยๆนะ ไม่ได้ซาบซึ้งโรแมนติกไปกับเขาเท่าไร คือ ถ้าเป็นฉัน ฉันคงรู้สึกแปลกๆที่การขอแต่งงานของฉันกลายเป็นเรื่องสาธารณะเช่นนี้ เอาเถอะ คนเราย่อมมีมุมมองไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

ถ้าคุณไปถามความรู้สึกของคนที่กำลังจะแต่งงาน ทุกคนย่อมจะบอกว่ารู้สึกดีมีความสุขทั้งนั้น

สำหรับฉัน มันเหมือนกับการถามความรู้สึกของคนที่กำลังจัดกระเป๋าเพื่อที่จะไปท่องเที่ยวว่า การเดินทางเป็นอย่างไร สนุกมั้ย

สิ่งที่ตอบล้วนแต่เป็นสิ่งที่นักเดินทางเพียงแต่คาดหวังว่า อืม คิดว่ามันคงราบรื่นนะ อากาศคงจะดีนะ หวังว่าคงจะสนุกนะ

มันหาคำตอบอะไรจริงๆไม่ได้หรอก ก็เพราะการเดินทางมันยังไม่ได้เริ่มต้นเลยนะสิ

---------------------------------------------------------
ฉันได้หนังสือต้องห้าม Thaksin:Where are you? มาอ่านหลายวันแล้ว

อืม ฉันไม่ค่อยสนใจประเด็นการเมืองเท่าไร แค่มีเรื่องนึงที่ฉันอ่านแล้วรู้สึกประทับใจ คือเวลาที่คุณทักษิณพูดถึงความผูกพันที่มีต่อคุณหญิงพจมาน

คำพูดไม่ได้หวานอะไรมากมาย แต่ก็ทำฉันประทับใจจนเก็บไปคิดเลยว่าในโลกนี้จะมีคนที่รู้สึกกับเราอย่างนี้บ้างรึเปล่าเนี่ย

เหมือนกับฉันได้ฟังเรื่องเล่าจากนักเดินทางผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ถึงการเดินทางอันน่าจดจำของเขา ฟังแล้วมันตราตรึงในจิตใจดีเหลือเกิน

ฉันคิดว่า ความรักจะเริ่มต้นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ามันดำเนินไปอย่างไรมากกว่า

เพราะเหตุนี้ละมั้ง ฉันถึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับการจัดกระเป๋าเดินทางเท่าไร ^^

ตะกอนของความคิด

ภาพประกอบ: พระจันทร์ที่ขั้วโลกเหนือ (ในรูปเขาอธิบายว่างั้นน่ะ)

ช่วงนี้ฉันได้มีโอกาสคุยกับน้องชายมากขึ้น ได้ถกกันในหลายๆเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดและ ปรัชญา ฉันว่าไอ้ความช่างคิดนี้ต้องถ่ายทอดทางพันธุกรรมแน่นอนเลย เพราะพ่อฉันก็เป็นคนช่างคิดเหมือนกัน

เราทั้งคู่ชอบงาานเขียนของวินทร์ เลียววารินทร์ เพราะเขามักจะแฝงปรัชญา ความคิด หรือ คำคมเด็ดๆไว้ในงานเขียนของเขาอยู่ตลอด ฉันว่าเขาเป็นอีกคนที่มีความคิดคมมากๆ มีมุมมองและแนวทางเป็นของตนเอง บางเรื่องอาจดูเป็นความคิดที่แปลกสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันชอบคนที่มีแนวคิดใหม่ๆไม่ซ้ำใคร

ฉันมักตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆเกี่ยวกับค่านิยมของสังคมหลายๆเรื่อง เช่นว่าทำไมจะต้องดำเนินชีวิตตามแบบที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน ทำไมต้องเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาเชื่อกัน ฉันคิดเสมอว่าแต่ละคนมีเงื่อนไขในชีวิตที่ต่างกัน สิ่งที่เหมาะกับคนนึงอาจจะไม่เหมาะกับอีกคนนึง คนบางคนถือเอาบรรทัดฐานของคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเงื่อนไขของตนเอง ประมาณว่าอะไรที่คนส่วนใหญ่บอกว่าถูกคือถูก ผิดคือผิด อันนี้ฉันไม่เห็นด้วยอย่างแรง

สำหรับฉันแล้วฉันจะถามตัวเองก่อนเสมอว่าสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้มันเหมาะกับเราหรือเปล่า ฉันเชื่อว่าเราทุกคนรู้จักตัวเองดีที่สุด ถ้ามันฝืนตัวเราฉันก็ไม่ทำนะ ต่อให้คนค่อนโลกมองว่ามันถูกก็ตาม แต่สำหรับเรามันไม่ใช่นี่นา

ฉันว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องไกลตัวมากกว่าเรื่องของตัวเอง ตัวอย่างเช่นผู้ชายมักจะสนใจเรื่องการเมือง วิพากวิจารณ์กันอย่างถึงพริกถึงขิง ส่วนผู้หญิงมักจับกลุ่มกันวิพากวิจารณ์เรื่องส่วนตัวของคนอื่น ที่จริงมันก็ไม่ผิดหรอกที่จะสนใจเรื่องอื่นๆ เพียงแต่ฉันคิดว่าอย่างไปจริงจังกับมันเกินไป เราก็ได้แต่พูด ได้แต่วิจารณ์ ได้แต่คิด สุดท้ายแล้วมันก็เท่านั้นจริงๆ เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก

ไม่รู้สิ เรื่องภายนอก ฉันให้ความสนใจพอควร แต่สุดท้ายก็ปล่อยวางหมด ฉันมองว่าทุกสิ่งในโลกนี้มันเหมือนสิ่งที่สมมติขึ้นมา ตัวตนที่แท้จริงมันไม่มี มีแต่ความเชื่อที่คนสร้างขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้นอย่าไปยึดติดกับอะไรมากจนเกินไป

ความคิดของฉันอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับใครอีกหลายคน แต่ฉันก็ไม่ซีเรียสนะ เอาเป็นว่าการมองโลกแบบนี้ทำให้ฉันทุกข์น้อยลงละกัน แล้วฉันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนด้วย

Wednesday, August 22, 2007

ว่าด้วยปรัชญาชีวิต

ไม่รู้ทำไมนะ ฉันถึงชอบมองท้องฟ้าสีฟ้า มันทำให้ใจมันสงบสบายบอกไม่ถูกจริงๆ

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันค่อนข้างเหนื่อยกับงานจริงๆ เป็นเพราะถึงช่วงที่งานยุ่งบวกกับมีออดิตมาตรวจที่แผนกอีกด้วย ทำฉันจิตตกไปพักใหญ่ทีเดียว

พูดถึงงานแล้ว บางวันฉันก็รู้สึกสนุกกับมันนะ แต่บางวันฉันก็รู้สึกเบื่อๆเซ็งๆกับมัน จริงอย่างที่เขาว่า ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิตจริงๆ ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ง่ายๆเลย แค่ใจเรานี่แหละ ดูง่ายที่สุด เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์สลับกันไปเรื่อยๆ บางครั้งมันเปลี่ยนรวดเร็วมากจนไม่ทันสังเกตเลยทีเดียว อะไรที่เคยชอบ ตอนนี้กลับไม่ชอบ อะไรที่เคยไม่ชอบ ไปๆมาๆก็ยอมรับได้ไปเอง ประมาณนี้แหละ

ณ ตอนนี้ฉันพยายามที่จะยอมรับในความจริงข้อนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ปล่อยวางอะไรได้ง่ายขึ้น
อืม ฟังดูธรรมะธรรมโมสิ้นดีนะ ที่จริงฉันก็ไม่ได้แตกฉานอะไรเรื่องศาสนาเท่าไรหรอก ฉันว่าธรรมะเป็นเรื่องธรรมชาตินะ คือเป็นการทำชีวิตให้ปกติธรรมดา ยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ


แต่ก่อนเวลาทำอะไรสักอย่าง ฉันใส่ความคาดหวังลงไปมากมาย พอไม่เป็นอย่างที่หวัง ฉันก็หดหู่ ทำอะไรไม่ได้ไปหลายวันเลย

ตอนนี้ฉันเลยฝึกตัวเองไม่ให้คิดอะไรมากมาย ฉันถือว่าเราทำให้ดีที่สุดละกัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็รับได้หมด

ดีที่ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจำเรื่องอะไรที่ผ่านไปแล้ว ฉันถือว่าอดีตก็คืออดีต เราไปแก้ไขอะไรได้มั้ย แล้วจะมานั่งเสียใจไปทำซากอะไร แค่ถือเอาเรื่องร้ายๆเป็นบทเรียนเพื่อที่จะไม่ให้ทำพลาดอีกละกัน

อย่างที่ฉันเคยเขียนไว้ตั้งนานแล้ว ความคิดของเราคือกุญแจสู่ทุกสิ่ง คิดดี มองโลกในแง่ดี ก็สุข คิดร้าย มองโลกในแง่ร้าย ก็ทุกข์ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้วทำไมยังจะเลือกทำให้ตัวเองเป็นทุกข์อีกล่ะ




Sunday, August 12, 2007

สุขสันต์วันแม่



ในที่สุดก็ถึงเทศกาลวันแม่อีกปีนึงแล้ว ถ้าจะถามความรู้สึกของคนที่แม่ไม่อยู่แล้วอย่างฉันเนี่ย อืม...ก็คงตอบว่าเฉยๆนะ ที่จริงฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ไม่ได้มีโอกาสให้ของขวัญให้แม่หรือพาแม่ไปเที่ยวเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันแค่ลำบากใจนิดหน่อยเวลาจะปฏิเสธคนที่พยายามตื้อเอาดอกมะลิหรือของขวัญวันแม่มาขาย ไม่เว้นแม้แต่ในที่ทำงานฉันเองนะ เขาคงมองฉันด้วยสายตาตำหนิเหมือนฉันเป็นลูกอกตัญญู แค่ของซื้อให้แม่ยังทำลังเลอีก ฉันขี้เกียจที่จะต้องมาอธิบายเหตุผลทุกครั้งหรอกว่าฉันไม่มีแม่ที่จะให้ของแล้วนิ พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าฉันทำตัวน่าสงสารซะอีก

อย่างที่เขาพูกกันว่าการรักแม่เนี่ยไม่จำเป็นต้องรอถึงวันแม่หรอก เราสามารถที่จะบอกรักแม่ได้ทุกวัน ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ

ตอนที่แม่ยังอยู่ ฉันก็ไม่ได้อ้อนอะไรกับแม่เท่าไรหรอก ยิ่งบอกรักนี่ไม่เคยเลยมั้ง รู้สึกกระดากเขินน่ะ แต่ฉันจะแสดงความรักโดยการเป็นลูกที่ดี ไม่สร้างปัญหาให้พ่อแม่ ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบโท ฉันทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุดเสมอมาโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชอะไรเลย เวลาฉันจะทำอะไร ฉันจะคิดถึงพ่อแม่ก่อนเสมอว่าเรื่องนี้จะทำให้ท่านลำบากใจหรือไม่สบายใจรึเปล่า

เมื่อนึกถึงแม่ ฉันมักจะนึกถึงสิ่งที่ท่านสอนอยู่เป็นประจำ เช่นให้เป็นคนรู้จักให้ มีน้ำใจ และช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งฉันก็นำมาปฏิบัติอยู่ตลอดนะ ถ้าใครทำไม่ดีกับเราแม่ก็จะบอกให้ช่างเขาเถอะ เพราะเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้หรอก เราทำของเราให้ดีที่สุดละกัน นอกจากนี้แม่ก็ยังสอนให้รู้จักเกรงใจผู้อื่น และก็สอนให้ฉันเชื่อผลของบาปบุญคุณโทษ

ทุกครั้งที่นึกถึงคำสอนของแม่ ฉันก็เข้าใจว่าที่จริงแม่ไม่ได้หายไปไหนหรอก แม่อยู่กับฉันตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน คำพูดของท่านก็ยังอยู่ในใจของฉันเสมอ

ฉันก็แค่หวังว่าช่วงเวลาที่แม่ยังอยู่ ฉันคงจะไม่ได้ทำอะไรให้ท่านผิดหวังนะ ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว สำหรับฉันเองคงจะไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้วล่ะ

Friday, August 10, 2007

ไปบริจาคเลือดมาอีกแล้ว



วันนี้ได้ฤกษ์ไปบริจาคเลือดครั้งที่สอง ที่จริงก็ยังไม่ครบสามเดือนเต็มหรอก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะอยากไปวันนี้นิ

คราวที่แล้วฉันไปตอนกลางวันไปนั่งรอคิวนานมาก ไม่รู้วันนั้นคนประมาณล้านแปดเกิดใจบุญขึ้นมาพร้อมกันรึไง วันนี้เลยไปแต่เช้า ฉันถึงสภากาชาดประมาณ8.30 น. ปรากฏว่าโล่งมาก แทบไม่มีคิวรอเลย สามารถเลือกเตียงได้ตามใจชอบ คราวที่แล้วมีผู้มาให้กำลังใจนับสิบคน(แต่บริจาคแค่ 3คน) คราวนี้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เหลือแค่3 คนเท่านั้น

วันนี้ตอนนอนให้เลือดฉันรู้สึกว่าเลือดไม่ค่อยปรี๊ดเท่าไร คือคราวก่อนเวลาบีบลูกบอลเพื่อให้เลือดเข้าถุง รู้สึกว่ามันปรี๊ดดี หมายถึงเลือดไหลคล่องน่ะ คุณนางพยาบาลบอกว่าเลือดฉันหนืดไปหน่อย สงสัยเป็นเพราะยังเช้าอยู่ละมั้ง ยังไม่ได้ทานอะไรเท่าที่ควร คุณพยาบาลบอกว่าคราวหน้าให้ดื่มน้ำมาเยอะๆหน่อย ซักครึ่งลิตรก่อนมาบริจาคก็จะดีมาก เพราะเดี๋ยวจะก็ต้องถูกเอาออกไป 450 มล.แน่ะ

คนอาจสงสัยว่าทำไมจู่ๆฉันถึงได้เห่อไปบริจาคเลือดจัง ที่จริงฉันมีความตั้งใจอยากจะไปบริจาคตั้งแต่ตอนที่แม่ไม่สบายแล้ว แต่รู้สึกตอนนั้นยังกลัวๆหน่อย ผ่านมาสามปีแล้วรู้สึกว่าตอนนั้นกลัวอะไรวะ ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย เจ็บก็แป๊ปเดียว เดี๋ยวก็หาย ดีซะอีก เป็นการช่วยผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียอะไรมากมายเลย
ฉันคิดว่าจะบริจาคอย่างนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละจนกว่าร่างกายจะไม่เอืออำนวยให้ทำ

Tuesday, August 7, 2007

ความสุขแบบง่ายๆของฉัน

ว่ากันว่าความสุขของคนเรา บางทีมันก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรมากมายนะ ก็แค่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบก็โอเคแล้ว

สำหรับฉัน สิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขคือเสียงเพลง



ฉันชอบฟังเพลงสบายๆ แนว Jazz และก็ Popนะ ส่วนใหญ่ที่ชอบฟังจะเป็นเพลงสากล จำได้ว่าฉันเริ่มฟังสากลตั้งแต่สมัยตอนประถมแน่ะ เวลาฟังก็ชอบแปลเนื้อเพลงด้วย เพราะอยากรู้ความหมาย และก็หัดร้องตาม ถึงตอนนี้ฉันต้องขอขอบคุณเพลงพวกนี้นะที่ทำให้ฉันชอบภาษาอังกฤษขึ้นมา



เพลงสากลช่วงแรกที่ฉันฟังจะสมัยประถม ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงยุคปลาย80-ต้น90 เพลงที่ฉันฟังบ่อยก็เช่นเพลงของ producer มือทอง Stock Aitken Waterman นี่จะชอบมากเป็นพิเศษ เขาเรียกว่าแนว synthetic pop หรือแปลเป็นไทยว่าเพลงป็อปสังเคราะห์ ศิลปินโปรดของค่ายนี้ก็เช่นKylie Minogue , Jason Donovan, Rick Astley, Bananarama, etc.

ถ้าเป็นเพลงฝั่งอเมริกาก็จะชอบฟังของ NKOTB, Madonna, Gloria Estefan ประมาณนี้ ที่จริงยังมีอีกมากเลยนะ ขอให้เป็นเพลงป๊อปสนุกๆ หรือเพลงช้าซึ้งๆ ฟังได้หมดเลย เพลง R&B ก็ชอบนะ เช่นเพลงของ Mariah Carey, Withney Houston Babyface, BoyzIIMen

พูดถึงเพลงสมัยเก่ายุคก่อนฉันเกิดฉันก็ชอบนะ ยุค Disco เช่น I will survive, I love the night life, Dancing Queen, Copacabana ฟังเท่าไรก็ไม่เบื่อนะ เป็นเพลงเต้นที่สนุก คลาสสิกมาก ยุคMotown เช่นเพลงของ Marvin Gaye ที่ร้องกับ Tammy Tarell และก็วง Earth Wind&Fire โดยเฉพาะเพลง After the love has gone นี่ โดนมากๆ ชอบมาก

พอโตขึ้นมาฉันจะฝังใจเป็นพิเศษกับเพลงช่วงตอนอยู่ม.ปลายถึงตอนมหาลัยปีสองปีสามนะ ไม่รู้สิ รู้สึกว่าเพลงป๊อปช่วงนั้นมันเพราะจัง ทั้งฝั่งอังกฤษเช่นของ Take That, Spice Girls หรือทางฝั่งอเมริกาเช่น Backstreet boys เวลากลับมาฟังเพลงพวกนี้ เหมือนกับความรู้สึกตอนนั้นมันหวนกลับมา แปลกดีเหมือนกัน

ส่วนเพลงไทยนี่ฟังในสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก ที่ชอบจริงๆก็จะเป็นของ Bakery Music เช่นเพลงของบอย โกสิยะพงษ์ พี่นภ พรชำนิ Groove Rider โยคีเพลย์บอย และก็เพลงของแกรมมี่เก่าๆ เช่นของทาทา. คริสติน่า.ใหม่ ประมาณนั้น

K-pop ก็ฟังเหมือนกันนะ ฉันชอบเพลงของ S.E.S. เกือบทุกเพลงเลย

เพลง Jazz นี่เพิ่งจะมาชอบช่วงหลังๆ อาจเพราะวัยที่มากขึ้นละมั้ง ศิลปินที่ชอบก็ George Benson, Dave Grusin, Casiopea (fusion Jazz จากญี่ปุ่น) นอกนั้นก็จิปาถะ ฟังได้หมด ไม่ว่าจะเป็นvocal or instrumental หรือแตกแขนงจาก Jazz เช่น แนว Lounge, Bossa Nova ก็ชอบนะ ฟังสบายดี เพลงClassic เช่นของ Mozart, Bach, Beethoven ก็ยังฟังเลย

ตอนสมัยก่อนจะชอบฟังวิทยุเป็นประจำนะ ตอนนั้นจะมีคลื่นเพลงสากล 95.5 FMx และ smooth 105 FM ที่ฟังบ่อยมากๆ ปัจจุบันแทบไม่เหลือแล้วมั้ง ตอนนี้ก็เลยฟัง Breeze FM 98.5 ซะส่วนใหญ่

เมื่อฟังเพลงแล้ว ก็ต้องพูดถึงการร้องเพลงด้วย เพราะฉันไม่ฟังอย่างเดียวหรอก ต้องร้องตามด้วยทุกครั้ง ส่วนใหญ่เพลงที่ฉันชอบนี่ฉันจะต้องหาเนื้อเพลงเพื่อเอามาร้องตามทุกครั้ง

ไอ้โรคชอบร้องเพลงนี่สงสัยจะเป็นพันธุกรรม เพราะแม่ฉันก็ชอบร้องเพลงมาก เวลาที่ได้ร้องเพลงเนี่ยเหมือนกับลืมความทุกข์ทุกอย่างเลย เหมือนโลกมันสดใสขึ้นมาทันที

ถ้าโลกนี้ไม่มีเสียงเพลงนี่ ไม่รู้ชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรนะเนี่ย คิดไม่ออกจริงๆ

Monday, August 6, 2007

ปรากฏการณ์แจ๊คที่ทรูทองหล่อ


ขอต่อเรื่องน้องแจ๊คอีกหน่อยจากวันก่อน

พอน้องแจ๊คออก เราก็แทบจะเลิกดูเอเอฟไปเลยเพราะไม่รู้จะดูใคร พอดีเจ้าโมโม่ น้องที่ทำงานและก็เป็นแฟนคลับน้องแจ๊คเหมือนกันชวนไปที่ทรูทองหล่อวันจันทร์ไปดูน้องเขาอัดรายการ Secret of Academy

ตอนแรกลังเล เพราะไม่รู้จะไปทำไม สักพักก็ เอาวะ ไปก็ไป ก็ตกลงว่านัดเจอกันที่เซ็นทรัลพระราม 3 โมโม่มาตรงเวลามาก (ซึ่งผิดจากปกติโดยสิ้นเชิง) เราไปถึงทรูทองหล่อประมาณบ่ายโมง โชคดีที่เป็นวันหยุด รถเลยโล่ง โห บอกได้คำเดียวว่าคนเยอะมากๆ เผินๆใครไม่รู้คิดว่าวงดงบังชิงกิมาซะอีก น้องแจ๊คมาประมาณบ่ายสาม คนงี้กรี๊ดกันสนั่น วันนั้นน้องดูมีสง่าราศีมากๆ เมื่อเห็นแฟนคลับ น้องถึงกับร่ำไห้ แถมยังโบกมือให้แฟนคลับรอบๆ ยิ้มเก่งมากหยั่งกะนางงาม

ตอนสัมภาษณ์ก็ตลกมาก แจ๊คตอบแต่ครับๆ พูดน้อยจริงๆ ว่าแต่น้องแอบมีหลุดวาทะเด็ดแห่งปีออกมาเหมือนกัน ตอนที่พิธีกรคือพี่หญิงพยายามแอบหลอกถามผู้หญิงในเสป็คของน้องเขา แจ๊คทำพี่อึ้งไปเลยกับคำตอบที่ว่า"ผมว่าไอ้รูปลักษณ์ภายนอกนี่ พอนานไปมันก็ .. อืม แล้วผมก็ใช่คนperfect ขนาดเลือกได้ขนาดนั้น .. " แม่ยกงี้นำ้ตาแทบไหล



พอน้องสัมภาษณ์เสร็จก็ถูกแฟนคลับนับร้อยรุมทึ้งพอประมาณโดยมีพี่กระเทยคนนึงพยายามปกป้องดูแลไม่ให้แจ๊คโดนเหยียบตายซะก่อน ฉากนี้เหมือนกับตอนที่เกรอนุยถูกทึ้งมากๆ (หมายเหตุ จากหนังเรื่อง Das Parfume or The Perfumeจ๊ะ)


หลังจากนั้นน้องก็ขึ้นรถไปกับทีมงาน หายไปอย่างไร้ร่องรอย ฉันก็เดินไปเดินมา คุยกับชาวบ้านไปเรื่อย ทำตัวเหมือนนักข่าวมากๆ เดี๋ยวก็ไปคุยกับพี่จิ๊บ พี่สาวแจ๊ค เดี๋ยวก็ไปคุยกับคุณแม่แจ๊ค พูดไปครอบครัวนี้ก็น่ารักดีนะ มนุษย์สัมพันธ์ดีกันทุกคน


แม่แจ๊คแอบถามว่าลูกตอบคำถามดีมั้ย ฉันบอกไปว่าน้องเล่นไม่ตอบอะไรเลย คุณพิธีกรพยายามล้วงเท่าไรก็ไม่ออก แม่ก็เลยบอกว่าไม่ต้องคนอื่นหรอก แม่ยังล้วงอะไรเขาไม่ออกเลย
ฮ่าฮ่า แน่มากนะน้องแจ๊ค


หมายเหตุวันที่ 11 สิงหา เราก็อุตส่าห์รอลุ้นในวีควันแม่ว่าจะมีsurpriseอะไร ปรากฏว่าน้องขึ้นมาร้องเพลงกับเพื่อนๆที่ออกจากบ้านไปแล้วหนึ่งเพลงแล้วก็ไป แต่ก็ยังดีนะที่มา ทำให้หายคิดถึงไปได้บ้าง ที่สำคัญยังน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเดิมน้า



Saturday, August 4, 2007

กลับมาคราวนี้ เพื่อมาทวงความฝันคืน...

กลับมาเขียนบล็อคจากการห่างหายไปเกือบสองเดือน ที่จริงก็ไม่ได้ยุ่งอะไรหรอก เผอิญว่าโรคเก่ามันกำเริบอีกแล้ว อืม โรคขี้เกียจน่ะ คือตลอดสองเดือนที่ผ่านมาทำท่าจะเขียนหลายรอบแต่ก็ไม่ได้เขียนซะที

คราวนี้กลับมาเขียนที่บ้านใหม่ดูไฉไลกว่าเดิม เรื่องที่เขียนก็ควรจะสนุกเข้มข้นขึ้นจริงมั้ย

ชีวิตช่วงที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรมาก (อีกแล้ว ไม่เคยจะมีอะไรกับเขาซักกะที) อ้าว ก็เป็นสาวออฟฟิศนิ ไม่ได้อยู่ปอเต็กตึ้ง ถึงจะได้มีเรื่องตื่นเต้นตลอดเวลา


มาอัพเดตชีวิตคร่าวๆดีกว่า

Harry Potter เล่มสุดท้ายออกแล้ว พอจะได้อ่านเรื่องคร่าวๆแล้วทางเวปพันทิพ คนที่แปลนี่มีหลายคน จะบอกว่าอแมซิ่งมากๆ ได้หนังสือกันวันศุกร์ตอนเย็น วันเสาร์เช้านี่แปลกันจบเล่มแล้ว เก่งบวกอึดมากๆ ทำเอาคุณพี่ชายไม่ได้หลับได้นอนนั่งกดปุ่มrefresh รออ่าน แถมคุณพี่ชายแสนดีก็ยังส่งไฟล์pdf มาให้ฉันได้รับใบบุญด้วย ก็ถือว่าเล่มสุดท้ายนี่ก็มีอะไรตื่นเต้นที่คาดเดาอะไรไม่ถูกหลายอย่างเหมือนกัน แต่โดยรวมก็สนุก ตื่นเต้น ไม่เสียยี่ห้อ เจ เค โรวลิ่งหรอก อ้อ ภาคภาษาไทยจะออกต้นเดือนธันวาคมจ๊ะ ส่วนหนังภาคห้า The Order of Phoenix ก็ไปดูมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนังก็ทำได้ดีระดับนึงนะ เพียงแต่เล่มห้ามันรายละเอียดเยอะมาก พอตัดเหลือแค่สองชั่วโมงกว่าๆทำให้รายละเอียดเยอะมากหายไป ภาคนี้ตัวละครทุกคนดูโตขึ้นมาก โดยเฉพาะดาเนียลซึ่งเปลี่ยนไปมาก ดูเป็นหนุ่มขึ้นเยอะ ก็อายุเพิ่งจะครบ 18ไม่นานมานี้ จะว่าไปหนูดาเนียลนี่เป็นเด็กที่มีความคิดดีมากคนนึง เขาเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการแสดงให้ trust fund ดูแล แถมตัวเองก็ยังใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไป ไม่กินเหล้าเมายาอะไรเลย น่าเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ


เอาล่ะ ต่อกันเลยกับฤดูกาลของเอเอฟ 4 Acaaaademy Fantasiaaaa....(เลียนแบบอาต้อยตอนเปิดรายการ)


ตอนแรกไม่ได้สนใจเลยเพราะรู้สึกอิ่มตัวกับรายการประเภทนี้แล้ว แถมซีซั่นที่แล้วก็ไม่ประทับใจฉันสักเท่าไร เลยคิดว่าคงไม่ติดตามอะไรเท่าไร


ปรากฎว่าคอนเสิร์ตแรกของสัปดาห์ไปสะดุดตาพ่อหนุมคนนี้เข้า


เด็กอะไรเนี่ย ติ๋มๆจัง แต่รสนิยมการเลือกเพลงใช้ได้นะเนี่ย ผมแอบชอบคุณอยู่ ฮิฮิ เพลงโปรดเราเลย

เอาวะ เชียร์น้องคนนี้ดีกว่า Jack V2 เจ้าชายไข่เจียว เงียบๆติ๋มๆเต้นไม่เก่ง แต่น่ารัก (เอามาจากธงธง มกจ๊ก)

ดูน้องแจ๊คแล้วสนุก เพราะมีให้ลุ้นทุกวีคเลย แต่ก็นะ น้องนี่ก็อึดใช้ได้ ขยันซ้อมสุดๆ แถมยัง
เป็นพ่อบ้านที่ดี ของบ้านแมคโนเลีย เป็นเด็กมีระเบียบ และมารยาทดี ขยันมาก เห็นพัฒนาการแล้วน่าติดตาม

น้องแจ๊คเลยเป็นนักล่าฝันคนแรกที่ได้เงินค่าโวตของเรา ฮิฮิ


แม้บางวีคจะทำเจ๊ใจหายใจคว่ำ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี เช่นวีคลูกทุ่งที่ทำ ให้เราไม่กล้าดูแจ๊คซ้อมสองสามวันแรก เพราะได้ยินมาว่าหลอนมากๆ อาการร่อแร่ เพี้ยนกระจาย


แต่พอบนเวทีก็ไม่ได้เลวร้ายนะ ดีเกิดคาดทีเดียว คุณไก่ยังอดชมไม่ได้ ว่าน้องเป็นแก้วน้ำที่ไม่เคยเต็ม

จนมาถึงอาทิตย์ที่แล้ว โห แจ๊คร้องเพลงเพียงกระซิบได้สุดยอดมากๆ
ในความเห็นส่วนตัวนะ เราว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดของซีซั่นนี้เลย



คนกรี๊ดให้นานมากกกกกก เหมือนตอนที่กระรอกน้อย ออฟ วีสองร้อง
เพลงหัวใจสะออน


แต่สุดท้าย เวลาในบ้านของน้องก็จบเร็วเกินคาด น้องเดินจากไปด้วยความกังขา และความคลุมเครือของผลโวต

สิ่งที่เหลือคือความรู้สึกเซ็งของฉัน แล้วต่อไปจะดูใครละเนี่ย โธ่


จบข่าว (ด้วยความรู้สึกเซ็ง)

Welcome to my new home

ย้ายถาวรจาก MSN space แล้วจ๊ะ

เขียนบล็อกได้สี่เดือนฉันก็ตัดสินใจย้ายบ้านจาก MSN Space มาเป็นที่แห่งนี้ เหตุผลนะเหรอ เพราะว่าที่นี่ฉันสามารถปรับแต่งอะไรได้มากกว่าที่เก่านะสิ ที่เก่ามันโพสรูปกับเพลงยาก แต่ฉันคงไม่ย้ายข้อความเก่าๆมาที่นี่หรอกนะ ให้มันอยู่ที่เก่าแหละดีแล้ว ฉันกะว่าจะลองอยู่ที่ใหม่ดูสักพัก ถ้ารู้สึกไม่ดีก็คงหาที่ใหม่ต่อ ฮะฮ้า ทำตัวเหมือนGypsyดีๆนี่เอง