Sunday, March 30, 2008

สัปดาห์แห่งการกิน



ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่เรื่องกินเป็นหลักจริงๆ

เมื่อวันที่ 23 ไปไหว้เช็งเม้งมา ที่บ้านเลยมีของกินเพียบ ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ แกงฮังเลฝีมือตั่วโกว รู้ๆอยู่ตั่วโกวก็ทำอาหารอร่อยจะตาย ฉันเลยกินเต็มเหนี่ยวอยู่หลายวันจนเอียนเป็ดไก่ไปเลย

ช่วงสองอาทิตย์นี้ที่เซ็นทรัลพระรามสามมีเทศกาลไอศครีม ฉันก็ไปวนเวียนอยู่ที่นั่นหลายวัน ทั้งชิมทั้งซื้อกิน อิ่มไปเลยทีเดียว ตอนแรกตั้งใจรอกินไอศกรีมบุฟเฟ่ราคาพิเศษตอนหกโมงครึ่ง ปรากฎว่าคนรอเป็นหางว่าว เลยเปลี่ยนใจซื้อกินก็ได้ แล้วก็ซื้อไอศกรีมของฟาร์มโชคชัยกลับบ้าน


วันพุธมีนัดทานอาหารเสปนกับเพื่อน อยู่แถวเพลินจิต ราคาใช้ได้ทีเดียว บรรยากาศก็โอเคนะ ดูเงียบๆ ส่วนอาหารก็จัดว่าอร่อยนะ ทั้งสลัด ปาเอย่าทะเล ซึ่งมาเป็นกะทะใหญ่เชียว เพื่อนๆของฉันสั่งไม่ยั้งเลยเพราะหิว ส่วนฉันก็กินไปเยอะทีเดียวเพราะอร่อยมาก ทำให้คิดถึงตอนอยู่ที่บาร์เซโลน่าจัง


วันเสาร์ไปกินบุฟเฟ่ติ่มซำที่โรงแรม Miracle Grand ดอนเมือง พอไปถึงดันไปจ๊ะเอ๋กับประชุมพรรคการเมืองหนึ่ง แถมยังเจอเหล่าบรรดาแกนนำพรคที่ร้านอาหารอีก ฮิฮิ บทสนทนาเลยงดเรื่องการเมือง เปลี่ยนไปคุยเรื่องอิมซังอ๊กแทน ว่าแต่ติ่มซำที่นี่อาหารอร่อยมากๆเลย เท่าที่ฉันเคยกินมาฉันชอบที่นี่มากที่สุด นอกจากติ่มซำก็จะมีของทอด เช่น ปอเปี๊ย ราดหน้า โห ที่ฉันประทับใจที่สุดคงเป็นซาลาเปาไส้ครีมซึ่งมาเป็นอย่างสุดท้าย แต่หอมอร่อยที่สุดเลย ขนาดอิ่มแล้วนะเนี่ยยังอยากกินอีกเลย สรุปวันนั้นกินไปเยอะมากๆ

วันอาทิตย์ เราทั้งครอบครัวยกโขยงไปกินที่ร้านของพี่ชายที่แถว ม กรุงเทพ รังสิต ซึ่งเป็นร้านที่เขาหุ้นกับเพื่อน ร้านชื่อ CEO อืม ไม่ได้หมายถึงตำแหน่งเจ้าของบริษัทอะไรหรอก มันเป็นชื่อกลุ่มของเพื่อนเขาน่ะ พวกเราไปถึงก่อนเวลาร้านเปิดปกติ ร้านมีสามชั้น แต่เปิดแค่สองชั้นก่อน เป็นสไตล์นั่งพื้น อาหารก็เป็นกับข้าวไทยๆและก็กับแกล้ม พ่อบอกว่าใช้ได้นะ ฉันก็ว่าโอเค


ผลพวงของการกินไม่ยั้งทำให้ฉันน้ำหนักขึ้นแตะตัวเลขสูงสุดในรอบสองปี นับตั้งแต่กลับจากเยอรมนี เศร้าจริงๆ

Wednesday, March 26, 2008

เกือบจะได้ทำดีแล้วเชียว

วันนี้ตั้งใจจะไปบริจาคเลือดเป็นครั้งที่สี่ แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะเลือดของฉันจาง ที่จริงมันจางนิดหน่อยเอง ไม่รู้เป็นเพราะดื่มน้ำเตรียมไปเยอะเกินรึเปล่า หรือไม่ก็ช่วงนี้นอนไม่ค่อยพอ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะส่งผลได้ขนาดนั้น คุณพยาบาลให้ยาธาตุเหล็กมา6ถุง ฉันตั้งใจว่าจะลองกินทุกวันและนอนพักผ่อนเยอะๆ อีก สองอาทิตย์จะลองไปใหม่

ฉันไม่ถึงกับเสียความตั้งใจหรอก แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยและก็แอบสงสัยว่าทำไมจู่ๆเลือดจาง แต่ก็ดีนะ พอลองหาข้อมูลดูมันทำให้ฉันเข้าใจมากขึ้นว่าภาวะเลือดจางเกิดขึ้นได้ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอ ยาบำรุงที่เขาให้ก็ควรจะกิน ปกติฉันไม่ค่อยทานเลย กินอยู่วันเดียวก็เลิก สงสัยคราวนี้คงต้องเชื่อคุณพยาบาลซะแล้ว

วันนี้ได้รับอีเมลเกี่ยวกับไดอารี่ของอาจารย์เอแบคที่กระโดดตึก อ่านแล้วฉันก็ปลงนะ เขาคิดว่าแฟนคือทั้งชีวิตของเขา พอแฟนขอเลิกก็ทนไม่ได้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

น่าเสียดายชีวิตของเธอมาก เพียงเธอระลึกได้ว่าที่จริงก่อนที่เธอจะเจอเขาคนนั้น เธอก็เคยอยู่คนเดียวได้ มีชีวิตที่ปกติสุขดี เธอจะไม่รู้สึกเลยว่าขาดเขาแล้วเธอจะไม่สามารถทนได้
คนเรามักคาดหวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง วาดฝัน จินตนาการไปเรื่อย แต่พอสิ่งนั้นมันพังทลายไปก็เกิดอาการรับไม่ได้ ผิดหวัง เสียใจ

ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ทำไมพุทธศาสนาถึงเน้นกับการปล่อยวาง ก็เพราะทุกสิ่งในโลกมันเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น และสิ่งต่างๆหล่านี้มันเป็นไปตามกฏของไตรลักษณ์ คือ ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง
วันนี้เราเป็นคนรักกัน พรุ่งนี้อาจไม่ใช่อีกแล้ว รอบๆตัวเราเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ถ้าเรายอมรับสภาพการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมหมายถึงเรากำลังต่อต้านความจริงข้อนี้อยู่ เราก็จะรู้สึกฝืน และทนไม่ได้

ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไร ชีวิตก็ย่อมเป็นสุขได้เร็วเท่านั้น

Sunday, March 23, 2008

เทศกาลเช็งเม้ง และเรื่องอื่นๆ



ครบรอบอีกหนึ่งปีของเทศกาลเช็งเม้งอีกแล้ว ปีนี้ถือว่าไปไหว้เร็วกว่าปกติเพราะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ทำให้ต้องเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นหนึ่งอาทิตย์
เราออกจากบ้านกันแต่เช้าเหมือนเดิม ประมาณเกือบๆหกโมงเช้า ไปถึงสุสาน 8 โมงพอดี ไหว้ถึง 10 โมงก็เก็บของ กลับถึงบ้านก็เกือบๆบ่ายโมง อากาศนี่ร้อนใช้ได้เลย ทำเอาสลบไปเลยเมื่อกลับถึงบ้าน



อยากจะเขียนอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ประสบมาสักหน่อย ฉันเป็นคนที่เชื่อเรื่องของบาปบุญคุณโทษและเรื่องเวรกรรมมาตั้งแต่เด็กแล้ว อาจเป็นเพราะแม่สอนฉันเรื่องนี้บ่อยๆ แม่บอกว่าถ้าเราจิตใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือคนบ่อยๆโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เมื่อถึงคราวที่เราลำบาก ฟ้าก็จะส่งคนมาช่วยเรา

ฉันเคยประสบด้วยตัวเองหนนึงตอนที่ยังอยู่เยอรมนี ตอนที่ฉันจะย้ายบ้าน ตอนนั้นฉันมืดแปดด้านจริงๆ เพราะไม่รู้จะจัดการกับของอย่างไร จะขนไปยังไง จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร ยอมรับเลยว่าเครียดมาก เพราะมีเวลาแค่สองอาทิตย์เอง จู่ๆพี่ที่ฉันรู้จักคนนึงก็พาคนมาช่วยฉันโดยที่ฉันไม่ทราบเรื่องเลย ตอนนั้นฉันดีใจสุดๆ ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่เขามากๆ

หนที่สองเพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้เอง ขณะที่ฉันกำลังมืดแปดด้านเรื่องบ้าน ฟ้าก็ส่งคนมาช่วยฉัน นึกๆไปแล้วมันก็ตลกดีนะ จะว่ามันเป็นเหตุบังเอิญก็ไม่เชิง ฉันนึกถึงคำที่คุณดังตฤณเขียนในหนังสือเอาไว้ว่า ความบังเอิญไม่มีในโลก มีแต่เหตุผลที่คนเราไม่รู้

ฉันรู้เพียงว่าฉันไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยเอาเปรียบใคร เวลาใครมาขอความช่วยเหลือ ฉันก็ช่วยเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่ได้หวังว่าเขาจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณ หรือสิ่งที่ฉันทำให้ ฉันว่าของแบบนี้อยู่ที่บุญกรรมของเจ้าตัวเขาเอง ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องไปทุกข์ร้อนอะไร

ตอนนี้ฉันกำลังเผชิญหน้ากับคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คนที่ไม่เคยใส่ใจในความทุกข์ร้อนของผู้อื่น คนที่อัตตาสูง แต่คุณธรรมต่ำมาก คนที่เอาเปรียบผู้คนรอบข้าง คนที่ไร้สัจจะ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะรวมอยู่ในคนนเดียวนะเนี่ย

ฉันได้แต่หวังว่าจะหมดกรรมกับคนผู้นี้โดยเร็ว ที่ผ่านมาฉันอาจจะติดหนี้กรรมเขามารึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้นะ เอาเป็นว่าขอให้มันหมดไปในชาตินี้เถอะ ฉันไม่อยากเจอคนแบบนี้อีกแล้ว

Friday, March 14, 2008

เรื่องของดวง

หมู่เกาะโบรา โบร่า สวยจังเลย

ช่วงนี้มีคนถามฉันเรื่องหมอพีร์มากเหลือเกิน หลังจากที่ฉันได้แนะนำพี่ที่ทำงานคนนึงไป ที่จริงฉันไม่ได้แนะพี่เขาจริงๆจังๆหรอก แต่แค่แนะแบบอ้อมๆโดยการให้หนังสือของหมอพีร์ไปอ่านก่อน ฉันเดาได้แหละว่าพี่เขาคงจะสนใจอยากจะดูแน่เลย

ตอนที่เอาหนังสือให้หมอพีร์เซ็นต์ เขาถามฉันว่าจะเอาไปให้ใครเหรอ ฉันตอบไปว่าไว้เอาไปแจกคนอื่นค่ะ ตอนนั้นฉันก็ยังไม่มีไอเดียว่าจะให้ใครหรอก แค่คิดว่าเจอใครที่เหมาะก็จะให้ละกัน

ฉันว่าของแบบนี้ต้องเป็นคนที่เชื่อเรื่องกรรมระดับหนึ่งถึงจะสนใจ เพราะหมอพีร์ไม่ใช่ประเภททำนายอนาคตได้แม่นยำแบบน่าใจหาย แต่เขาจะอธิบายสาเหตุของกรรมเก่าซึ่งส่งผลมายังชีวิตปัจจุบันมากกว่า สิ่งที่เราได้คือความเข้าใจว่าทำไมแต่ละคนถึงมีชีวิตที่ต่างกัน มีปัญหาที่ต่างกัน มีนิสัยและความคิดที่ต่างกัน สำคัญคือหมอพีร์ย้ำเสมอว่าเราสามารถเปลี่ยนดวงชะตาเราได้ โดยต้องอาศัยบุญที่ทำในปัจจุบันมาช่วย รวมถึงการเปลี่ยนความคิดให้เป็นคนปล่อยวางได้ง่าย ให้อภัย และยึดมั่นในศีลทุกข้ออย่างหนักแน่น

ฉันค่อนข้างเชื่อในเรื่องนี้เพราะฉันลองมากับตัวแล้ว ภายในหนึ่งปีที่ผ่านมาหมอพีร์บอกว่าฉันดีขึ้น 50%แล้ว ฉันเองก็พอรู้สึกได้ว่าจิตใจดีขึ้นมาก ไม่หดหู่ง่ายเหมือนแต่ก่อน ปล่อยวางได้เร็วขึ้น ไม่คิดมาก ไม่คาดหวังอะไรมากมาย

สำหรับฉันคงไม่คิดจะไปหาหมอดูคนไหนอีกแล้วล่ะ ที่จริงฉันไม่ค่อยชอบดูดวงเท่าไรหรอก หมอพีร์นี่แหละถูกจริตที่สุดแล้ว คุยด้วยแล้วสบายใจ

สำหรับคนอื่นๆ ฉันก็แนะนำแบบกลางๆไป อย่างที่บอก การทำนายแบบนี้อาจจะเหมาะกับบางคน แต่ไม่เหมาะกับอีกหลายคน คงต้องคิดเอาเองว่าแบบนี้เหมาะกับเรารึเปล่า

Friday, March 7, 2008

สุขสันต์วันเกิดปีที่ 29



วันเกิดปีนี้ออกจะเป็นปีที่แปลกสักหน่อย เพราะฉันรู้สึกเฉยๆกับมันมาก
ไม่รู้สิ ฉันว่าปีๆนึงมันผ่านไปเร็วนะ แป๊ปเดียวถึงวันเกิดอีกแล้ว แต่ปีนี้ก็มีเรื่องให้น่าดีใจนะเพราะมีเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันนานหลายคนโทรมาอวยพรวันเกิด แปลกใจเหมือนกันที่ยังมีคนจำวันเกิดเราได้ด้วยแฮะ ปกติฉันเองเป็นคนจำวันเกิดใครไม่เก่งซะด้วย เลยแปลกใจเป็นธรรมดาที่ยังมีคนจำวันเกิดของฉันได้

ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่อายุของฉันมีเลขสองนำหน้า บางคนบอกว่ามันสำคัญสำหรับผู้หญิง เพราะมันเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหาแฟนแต่งงานก่อนอายุสามสิบ บอกตามตรงเลยนะว่าฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร ฉันไม่คิดว่าคนที่แต่งงานก่อนสามสิบจะมีความสุขมากกว่าคนที่แต่งงานหลังสามสิบ สำหรับฉัน ผู้หญิงอายุสามสิบดูเป็นผู้หญิงที่มั่นคงจะตายไป ไม่ชวนกันทะเลาะด้วยเรื่องไร้สาระ ดูเป็นคนสุขุมและมีเหตุผล ว่าแต่ตัวฉันเป็นถึงขั้นนั้นรึยัง คำตอบคือยังไม่ซะทีเดียว แม้ว่าฉันจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อดทนมากขึ้น มองอะไรๆเปลี่ยนไปบ้าง แต่ฉันก็ยังมีนิสัยอีกหลายอย่างยังแย่อยู่

ตอนนี้ฉันรู้ตัวเลยว่าตัวเองยังไปไม่ถึงเป้าหมายของการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่หมอพีร์ได้แนะนำไว้ หนึ่งปีที่ผ่านมาฉันทำได้ประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เหลืออีกหนึ่งปีคือปีนี้แหละที่ฉันต้องพยายามทำต่อไปอีก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปีนี้ฉันคงยังต้องเจอเรื่องอะไรอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องบ้าน ฉันหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยสอนให้ฉันเข้มแข็งขึ้น มีสติมากขึ้น มีทัศนคติที่ดี รู้จักปล่อยวางอะไรมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ดีในชีวิตของฉันต่อไปในภายหน้า