Sunday, November 30, 2008

My Best Friend's Wedding vs. Maid of Honour

ความเหมือนของหนังเรื่อง My Best Friend's Wedding กับ Maid of Honour คือมีผู้กำกับคนเดียวกัน

ความบังเอิญของหนังทั้งสองเรื่องกับตัวฉันคือ มันเป็นหนังโปรดของฉันทั้งคู่ ประกอบกับชีวิตฉันณ เดือนนี้ เหมือนชื่อหนังทั้งสองเรื่อง

ใช่แล้ว เพื่อนสนิทของฉันกำลังจะแต่งงาน และฉันก็จะไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว

ฉันไม่เคยเป็นเพื่อนเจ้าสาวมาก่อน เลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ปกติเคยแต่เป็นคนคุมคิว คุมไฟในงานแต่งาน ได้ยินว่าไม่ค่อยมีอะไรมาก แค่ยืนอยู่หลังเจ้าสาวก็พอ

ปรากฎว่าฉันต้องตื่นมาแต่งหน้าตั้งแต่ตีหนึ่งครี่ง (ไม่แน่ใจว่าได้นอนรึเปล่าเพราะมันแป๊ปเดียวมากๆ) พอตื่นแล้วก็เลยอยู่ยาวไปถึงเช้า พิธีหมั้นเริ่มตอนตีห้า เสร็จประมาณเที่ยง ฉันมีเวลากลับมานอนประมาณสี่สิบนาที แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวไปงานตอนเย็นที่ภัทราวดีเธียเตอร์ โชคดีที่งานตอนเย็นไม่มีพิธีอะไรมากมาย ฉันเพียงแค่ไปช่วยดูเรื่องคิว และเรื่องเทคนิก เช่นเรื่องprojector slide VCD อ้อ งานนี้เป็นงานของเพื่อนสนิทฉัน ดังนั้นจึงขาดไสลด์ฝีมือฉันไปได้อย่างไร ฉันไปถ่ายที่บ้านเพื่อนวันอาทิตย์ ใช้เพลงของ ETC สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหัวใจ ฉันว่ากำลังอินเทรนด์น่ะ เนื้อหาเพลงก็เหมาะดี เพื่อนฉันไว้ใจมากขนาดว่าไม่ยอมดู จะไปดูในงานพร้อมกับคนอื่นๆ ฉันเลยแอบกังวลเหมือนทุกที ไม่รู้ว่าเขาจะชอบมั้ย แอบยืนลุ้นอยู่ตอนเปิดฉาย ปรากฏว่าเพื่อนฉันกับแฟนชอบมาก ความเหนื่อยเลยหายเป็นปลิดทิ้ง ดีใจที่เพื่อนชอบ

นอกจากจะคุมคิว ทำสไลด์ ฉันสวมบทบาทเป็นนักร้องด้วย ตอนแรกคิดว่าจะร้องสามเพลง แล้วก็ตัดออกเพลงนึงเหลือสองเพลง สุดท้ายก็ได้ร้องทั้งสามเพลง เพลงสุดท้ายร้องตอนคนกลับไปแล้ว เหลือแต่เพื่อนๆซึ่งก็คิดว่าคงจะชินกับพฤติกรรมของฉันแล้ว คงจะไม่ถือสาอะไร

เพลงเดี่ยวที่ฉันร้องคือ I will Survive ที่จริงฉันไม่ได้เลือกนะ แต่เพื่อนฉันเลือก เขาอยากได้เพลงสนุกๆมันส์ๆ ฉันเลยรับอาสาร้องให้ ฉันก็ร้องแบบเรื่อยๆไม่หนักใจมากเท่าไรเพราะเป็นเพลงหากินประจำตัวอยู่แล้ว แต่ก็แอบเสียงไม่ถึงเป็นบางท่อน ฉันโทษว่าเป็นเพราะนอนไม่พอละมั้ง สิ่งที่คาดไม่ถึงคือปฏิกิริยาคนฟังดูสนุกสนานมาก ทำให้ฉันยิ่งสนุก นี่ถ้าไม่อดนอนจะมันส์กว่านี้อีก พอร้องจบได้รับเสียงปรบมือ ทำให้ฉันมีกำลังใจมากมายทีเดียว ดีใจที่คนชอบและก็สนุกกัน

Sunday, November 23, 2008

Kylie X คอนเสิร์ทที่รอคอย

Kylie X live in BKK


Kylie Minogue เป็นหนึ่งในศิลปินที่ฉันติดตามตั้งแต่วัยเยาว์ จำได้ว่าตั้งแต่ราวๆประถมปลายฉันรู้จักป้าไคลี่จากอัลบัมแรก ตอนนั้นเพลง I should be so lucky ดังมากๆ ป้าจะดังช่วงเดียวกับ Jason Donovan & Bananarama แถมแนวเพลงก็คล้ายๆกันเพราะ producerทีมเดียวกัน SAW (Stock Aitken Waterman) ฉันฝังใจกับเพลงเหล่านี้มากๆ เรียกได้ว่าโตมากับเพลงพวกนี้ ขนาดภาษาอังกฤษยังไม่เก่ง ฟังไม่ออก ยังเอาเนื้อเพลงมานั่งแกะหัดร้อง หลังจากอัลบัมแรก ฉันก็คิดตามผลงานป้าามาเรื่องๆถึงอัลบัมสี่ จากนั้นป้าก็ค่อยๆหายวับไปจากวงการ ทำเพลงมาน้อยและก็แนวไม่เหมือนเดิม ฉันยังคิดไปว่าป้าคงถึงทางตันของอาชีพแล้ว นักร้องใหม่ๆก็เกิดขึ้นมากมาย จะกลับมาดัวอีกคงยากล่ะ


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าป้าไคลี่จะกลับมาอย่างงดงามด้วย Spinning around ซึ่งก็เป็นแนวเพลงแบบฉบับของป้า ดังถล่มทลายมากๆ ไม่ต้องพูดถึงอัลบัมต่อมา can't get u out of my head ที่มีท่าเต้นเริ่ดสุดๆ แต่เพลงที่ฉันชอบมากที่สุดในอัลบัมคือ Love at first sight


กอล์ฟบอกว่าป้าไคลี่เคยมาสมัยก่อนนานมากๆ ตอนนั้นมาเล่นคอนเสิร์ทที่นาซ่า ฉันรู้แต่ว่าถ้าป้ามาอีกรอบล่ะฉันไม่พลาดแน่ๆ .......


และแล้วป้าก็มาจริงๆ กับคอนเสิร์ท Kylie X 2008 ณ Impact Arena สองวันก่อนที่พันธมิตรจะปิดสนามบิน (เกือบไม่ได้ดูแล้วเชียว ฮึ่ม ฮึ่ม)


สำหรับบรรยากาศคงไม่ต้องบรรยายอะไรกันมาก สมกับเป็นคอนเสิร์ทระดับโลก เทคนิก แสงสี และจอสกรีนซึ่งโคตรชัดมากๆ ลีลาป้าไคลี่ก็ไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว เสื้อผ้าหน้าผมก็อลังการออกแบบโดย John Paul Gaultier แอบผิดหวังที่ป้าไม่ค่อยร้องเพลงเก่าๆเท่าไร ส่วนใหญ่จะเน้นเพลงในอัลบัมล่าสุด แต่ที่ surpriseฉันที่สุดคือป้านำเพลงสุดคลาสสิกของ Barry Manilow เพลงสุดโปรดของฉัน Copacabana มาร้องในคอนเสิร์ท ได้รับเสียงกรี๊ดจากฉันไปมากมาย และแน่นอนว่าเพลงปิดท้ายของป้าจะเป็นเพลงอื่นไปไม่ได้นอกจาก I should be so lucky ถือว่าเป็นเพลงวัดอายุกันเลยทีเดียว ฉันงี้แค่ได้ยินไตเติ้ลเพลงอาดรีนาลีนก็พุ่งพล่านแล้ว ทั้งเต้นทั้งร้องกระจายเลย


วันนั้นฉันกลับบ้านด้วยความเหนื่อย แต่ก็สนุกและประทับใจมาก ไม่คิดว่าจะได้เห็นนักร้องในดวงใจแบบตัวเป็นๆแบบนี้ ถือเป็นmoment นึงที่มีค่าในชีวิตเลยทีเดียว

Saturday, October 25, 2008

The Secret of เพื่อนเจ้าสาว at งานสัปดาห์หนังสือ with Aston27

หัวข้อเรื่องไม่มีความหมาย แค่เอาkeywordเนื้อหาที่เขียนมารวมกันเป็นหัวข้อเดียวกันเท่านั้นเอง

และแล้วงานสัปดาห์หนังสือก็เวียนมาบรรจบอีกรอบ คราวนี้จัดเร็วกว่าปกติคือเป็นช่วงกลางเดือนตุลาคม ต่างจากปีก่อนๆซึ่งมักจะจัดปลายเดือนตุลาคม ตอนแรกฉันลังเลที่จะไป เนื่องด้วยหนังสือที่ซื้อมาต้งแต่ปีมะโว้ยังอ่านไม่หมดเลย แต่แล้วก็อดใจไม่ไหว เลยต้องขอลางานครึ่งวันแวะไปซะหน่อย ก่อนที่จะไปฉันทำการบ้านโดยการแวะไปร้านหนังสือแถวบ้านแล้วเล็งๆไว้ว่าเล่มไหนน่าสนใจ กะจะไปสอยในงานในราคาที่ถูกกว่า

ครั้งนี้ฉันรู้สึกว่าคนน้อยกว่าทุกๆครั้งนะ สงสัยงานจะมีบ่อยไปมั้ง คนคงซื้อหนังสือกันเยอะช่วงต้นปี พอปลายปีเลยยังอ่านไม่หมด คราวนี้ฉันกลับได้หนังสือที่ไม่ได้แพลนว่าจะซื้อ ส่วนหนังสือที่ตั้งใจว่าจะซื้อก็เกิดเปลี่ยนใจกระทันหัน ฉันสังเกตว่าช่วงนี้จุดขายของหนังสือจะวนเวียนอยู่ประมาณ The Secret, Top secret เรื่องมายาจิต แรงดึงดูด แรงจูงใจ พลังจิตใต้สำนึก อะไรๆเทือกนั้น The Secret นี่ฉันไม่เคยอ่านแต่เห็นเพื่อนอ่านแล้วมาเล่าให้ฟัง ฉันว่ามันเป็นส่วนเสี้ยวนึงที่ทางพุทธศาสนามีกล่าวไว้ในเรื่องของจิต ประมาณว่าให้คิดแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นกุศล ในทางพุทธสอนว่านอกจากคิดแล้ว ให้ตามรู้ความคิดที่เป็นกุศลและที่เป็นอกุศลนั้นด้วย สุดท้ายก็จะเห็นว่าจิตมันเกิดและดับอยู่ตลอด เป็นอนิจจัง

ทฤษฎีของ The Secret คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เท่าไรสำหรับคนที่ฝึกจิตและสติตามหลักของศาสนาพุทธอยู่แล้ว

กลับมาที่งานหนังสือดีกว่า ฉันว่าบูธที่ไม่ว่ามากี่ปีๆก็คนแน่นตลอดนี่ยกให้สนพ.แจ่มใสไปเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กวัยรุ่นถึงได้มุงกันอย่างกับว่าเขาแจกฟรีงันแหละ แทบจะปีนขึ้นไปบนกองหนังสือเลย นิยายมันสนุกขนาดนั้นเลยรึ

สำหรับครั้งนี้ฉันได้หนังสือที่ดีมากมาเล่มนึง ชื่อไทยว่า "หิมะในฤดูร้อน" แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ Snow in the Summer ของพระชาวพม่าชื่อท่านสยาดอ อู โชติกะ หนังสือนี้เป็นการรวบรวมเอาจดหมายหลายๆฉบับที่ท่านเขียนถึงลูกศิษย์มาตีพิมพ์ เป็นหนังสือที่อ่านง่าย และเนื้อหาหลากหลาย เหมาะกับฆราวาสแบบเราๆ

ฉันเดินอยู่ประมาณสามชั่วโมงก็รู้สึกหมดแรง เลยตัดสินใจกลับ หลังจากกลับจากงานก็ระลึกได้ว่ายังมีหนังสือที่ลืมซื้อคือหนังสือของคุณ aston 27ชื่อ ธนาคารความสุข จำได้แว๊บๆว่าเดินผ่านบูธของพรีมา แต่ทำไมตอนนั้นมองไม่เห็นหนังสือวะเนี่ย เย็นวันนั้นเข้าไปอ่าน Blog ของคุณaston 27แล้วเห็นเขาเขียนว่าจะไปแจกลายเซ็นต์วันที่23 เอาวะ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะไปอีกรอบ ซึ่งก็เป็นวันสุดท้ายของงานพอดี

ตอนเช้านัดกับแหม่มไปวัดตัวเพื่อตัดชุดเพื่อนเจ้าสาว ตอนแรกฉันก็คิดว่ามันจะพาไปร้านแถวบางลำพู เจ้าของเป็นคุณป้ามีอายุหน่อย แต่งตัวแบบผ้าลูกไม้ เอาแบบชุดจากหนังสือแนวๆขวัญเรือนมาให้ฉันเลือก

โอ พอไปถึงร้าน เห็นเจ้าของร้านเป็นชายผมเกรียน ใส่เสื้อเชิ๊ตสีชมพูบานเย็นเปิดกระดุมแหวกหน้าอก แหวนเพชรวูบวาบเต็มมือ ภาพนี้ตรงตรึงใจฉันมาก พี่เขาออกแบบชุดให้ฉันโดยให้ธีมคล้ายๆกับชุดของน้องจูน เพื่อนเจ้าสาวอีกคนซึ่งสูงส่งกว่าฉันในทุกๆด้าน ฉันไม่คิดมากเพราะไม่มีอะไรไปสู้กับน้องเขาอยู่แล้ว เลยไม่รู้สึกกดดันอะไร ชุดอะไรฉันก็ใส่ได้ทั้งนั้นแหละ

จากนั้นเราก็ไปวังหลังกันเพื่อไปดูสถานที่จัดงานนั่นคือ ภัทราวดีเธียเตอร์ แล้วก็ไปกินร้านส้มตำที่ไม่รู้ทำไมคนถึงแน่นได้ตลอดเวลา เสร็จธุระฉันก็ขอตัวไปงานหนังสือ ตอนนั้นกะว่าซื้อเล่มเดียวแถมรูบิคอีกอัน แล้วกลับเลยเพราะรองเท้ากัด รู้สึกเจ็บเท้ามากๆ ไม่อยากเดินอีกแล้ว อยากถอดรองเท้ามากๆ ถ้าเดินเท้าเปล่าได้ทำไปแล้ว

พอถึงศูนย์ประชุม สงสัยฝนเพิ่งจะตกไปเพราะเฉอะแฉะไปหมด เท้าก็เจ็บ รีบจ้ำไปในงาน โห คนเยอะจริงๆ ฉันไม่เคยมางานวันเสาร์อาทิตย์เลย ส่วนใหญ่จะมาวันธรรมดา เห็นแบบนี้นึกออกเลยว่าถ้ามาวันหยุดสงสัยจะซื้อไม่ได้สักเล่ม หมดอารมณ์ซะก่อน คนเยอะแบบนี้จะไปเลือกดูอะไรได้ แอบห่วงบูธแจ่มใสว่าป่านนี้พังไปรึยัง

ฉันตรงไปซื้อรูบิคแล้วก็ไปยังบูธพรีม่าทันที อืม คนไม่ค่อยเยอะ เห็นคุณaston 27ก้มหน้าก้มตาเซ็นต์หนังสือกองนึง ฉันก็ขออุดหนุนด้วยหนึ่งเล่มพร้อมลายเซ็นต์ ปกติเวลาขอลายเซ็นต์นักเขียนท่านจะเซ็นต์เร็วๆ ตัวใหญ่ๆ ฉันยืนมองอยู่ เขาเซ็นต์ให้แบบตั้งใจมากประหนึ่งเขียนเฟรนด์ชิป มีวาดรูปด้วย ดูเป็นผู้ชายกุ๊กกิ๊กดีนะ แต่ฉันก็พอเดาหรอกจากเรื่องที่เขาเขียนใน Blog ของเขา จะว่าไปฉันอ่าน Blog คุณaston 27 ตั้งแต่วันแรกที่เขาเขียน Blog ตามอ่านมาตลอด บางช่วงห่างหายเพราะยุ่งๆ ต้องมานั่งอ่านย้อนกันหลายตอนทีเดียว

จะว่าไปBlogของเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันอยากเขียนBlogของตัวเองบ้างนะ ฉันมันพวกช่างคิด บางครั้งเรามีเรื่องอยู่ในใจซึ่งก็ไม่มีใครเข้าใจหรอก ไม่ได้อยากเล่าให้ใครฟังด้วย นอกจากตัวเอง การถ่ายทอดออกมาผ่านBlogมันก็ทำให้เราเห็นว่า ณ ตอนนั้นเราคิดอย่างไรกับเรื่องๆนึง ซึ่งความคิดคนเรามันเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและประสบการณ์ ฉันคิดว่าจะเขียนไปเรื่อยๆ สักวันฉันอาจจมีหนังสือเป็นของตัวเองซักเล่มก็เป็นได้

Saturday, October 4, 2008

นิทานประเทืองปัญญา



ช่วงนี้ฟังรายการวิทยุภาษาผ่านสื่อ ของWisdom Radio ทุกวัน มีวันนึงผู้จัดรายการเล่านิทานเรื่องนึงในรายการ ฟังแล้วน่าสนใจดี

ณ ประเทศอินเดีย เด็กชายปัญญาซื้อแพะกับชาวบ้านคนนึงในราคา 1000รูปี ชาวบ้านรับเงินไปและสัญญาว่าจะเอาแพะมาให้ในวันรุ่งขึ้น ปรากฎว่าเมื่อถึงเวลาส่งมอบแพะ ชาวบ้านบอกเด็กชายว่า

"เสียใจด้วยนะ แพะได้ตายเสียแล้วเมื่อคืน"
"ถ้าอย่างนั้นท่าโปรดคืนเงินให้ผมด้วย"
"คงไม่ได้ละ เพราะฉันใช้เงินไปหมดแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นโปรดมอบแพะที่ตายแล้วให้กับผม"
"แพะนั่นตายไปแล้วนะ เจ้าจะเอาไปทำอะไร"
"ไม่เป็นไร นำมาให้ผมเถิด"

ชาวบ้านได้มอบซากแพะให้เด็กชายปัญญาไป หลายวันต่อมาชาวบ้านผู้นี้ได้พบเด็กชายปัญญา จึงถามว่า
"เจ้าหนู ตกลงเจ้าเอาซากแพะไปทำอะไร"
"ผมก็ทำสลากสองร้อยใบ ใบละ 50รูปี ไปขายที่ตลาด โดยประกาศว่าผู้ใดจับสลากได้รางวัลที่หนึ่งจะได้แพะไป ผมขายสลากได้หมด ได้เงินมา หนึ่งหมื่นรูปี"
"แล้วคนที่ได้รางวัลที่หนึ่งเขาไม่โวยวายหรือที่ได้แพะตาย"
"เขาก็โวยวายนะ ผมก็แค่คืนเงินให้เขา 50รูปี ก็เท่านั้นเอง"

Monday, September 22, 2008

ปรัชญาชีวิตว่าด้วยการแต่งงาน ของ คาลิล ยิบราล



คาลิล ยิบราลเป็นกวี นักเขียน และนักปราชญ์ชาวเลบานอน มีผลงานเขียนมากมาย ผลงานที่สร้างชื่อของเขาที่สุดคือ The Prophet ฉบับแปลเป็นไทยใช้ชื่อว่า ปรัชญาชีวิต

ฉันอ่านเจอบทกวีของคาลิล ยิบราลเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานในหนังสือเล่มหนึ่ง อ่านแล้วชอบมาก เลยไปขนขวายหา The Prophet ฉบับภาษาไทยมาอ่าน ซึ่งก็หาซื้อยากเหลือเกิน ต้องสั่งทางอินเตอร์เน็ต ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมหนังสือดีๆถึงได้หายากถึงเพียงนี้


อันนี้เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษของบทที่ว่าด้วยการแต่งงาน ลึกซึ้งกินใจมาก


Then Almitra spoke again and said, "And what of Marriage, master?"

And he answered saying: You were born together, and together you shall be for evermore. You shall be together when the white wings of death scatter your days. Aye, you shall be together even in the silent memory of God. But let there be spaces in your togetherness. And let the winds of the heavens dance between you.

Love one another, but make not a bond of love: let it rather be a moving sea between the shores of your souls. Fill each other's cup but drink not from one cup.

Give one another of your bread but eat not from the same loaf. Sing and dance together and be joyous, but let each one of you be alone, even as the strings of a lute are alone though they quiver with the same music.
Give your hearts, but not into each other's keeping. For only the hand of Life can contain your hearts. And stand together yet not too near together: For the pillars of the temple stand apart, And the oak tree and the cypress grow not in each other's shadow.

Copyright @ Kahlil Gibran.

Saturday, September 20, 2008

เวปหนุกๆ photofunia



My photo แบบอาร์ตๆ ใครคิดเวปนี้ขึ้นมาเนี่ย เจ๋งจริงๆ
แอบเห็นในพันทิพตอนนี้มีกระแสฮิตใหม่ คือเอารูปไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้องมาใส่เป็นองค์ประกอบของรูป ทีแรกฉันก็คิดว่าเขาใช้ photoshop ทำซะอีก ความจริงมันง่ายยิ่งกว่านั้นอีก มันคือเวป www.photofunia.com ลองเข้าไปดู มันเป็นที่ๆเราสามารถเอารูปของเรามาเลือกใส่ใน backgroundที่มีอยู่ได้ วิธีทำก็ง่าย แค่เลือกbackground ที่ต้องการ และเลือกรูปของเรา เท่านี้เวปก็ทำรูปของเราออกมาสวยงามทีเดียว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลนะจ๊ะ
สนุกจริงๆพับผ่าสิ เวปนี้

Saturday, September 13, 2008

ค่ำคืนแห่งความฝัน กับ George Benson




ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้เห็นตัวเป็นๆของ George Benson มาร้องเพลง Turn your love around ให้ฟัง

ฉันกลายเป็นแฟนเพลงของคุณลุงGeorge Benson ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็รู้จักเพลงของคุณลุงเยอะแยะไปหมด มีทั้งไปโหลดมา รวมถึงซื้อmp3มาด้วย แนวเพลงของคุณลุงเป็นแจ๊สที่ฟังสบายๆ เสียงร้องของคุณลุงก็นุ่มซะ ส่วนเพลงที่มีแต่ instrument (ไม่มีเสียงร้อง) ก็เพราะหลายเพลงเลย ที่ชอบมากและดังมากคงเป็นเพลง Breezing นะ เพลงอะไรก็ไม่รู้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนนอนอยู่ริมทะเล ท้องฟ้าใสๆ บรรยากาศชวนแก่การพักผ่อนมากๆ

ด้วยพรหมลิขิตหรือความบังเอิญก็มิอาจทราบได้ ขณะที่ฉันอยู่ในลิฟท์ กำลังดูจอโทรทัศน์ที่ทางตึกเพิ่งจะนำมาติดในลิฟท์(แบบในรถไฟฟ้า)อย่างตื่นตา ฉันก็เห็นโฆษณาคอนเสิร์ทของคุณลุง George Benson และ Al Jereau ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ แทบกรี๊ดอยู่ในลิฟท์ พอออกมาก็รีบโทรชวนกอล์ฟไปดูด้วยกัน

เมื่อถึงวันคอนเสิร์ท ฉันรีบออกจากออฟฟิศโดยเร็วเพราะรถเริ่มติด ฝนก็ตกอีกต่างหาก กลับไปบ้านเตรียมตัวก่อนแล้วค่อยออกมาอีกที โชคดีที่จากบ้านรถไม่ติดเลย ฉันมาถึงทุ่มครึ่งพอดีแต่ก็ยังเข้าไม่ได้เพราะต้องรอกอล์ฟก่อน ก็เลยเดินเล่นฆ่าเวลา เหมือนฉันจะเห็นเซเล็บต่างๆที่มาดูคอนเสิร์ท ฝรั่งก็เยอะนะ การแต่งตัวนี้มีตั้งแต่สูท ยันกางเกงยีนส์ ส่วนใหญ่ดูเป็นผู้มีอายุนะ ดูเหมือนมีคนดังจากวงการบันเทิงมาเยอะด้วย หน้าคุ้นๆหลายคนนะแต่ฉันนึกชื่อไม่ออกน่ะ ตอนไปยืนรอกอล์ฟ เจออาต้อยเศรษฐา อยู่หน้าเซเว่น สักพักเห็นพี่ปั๋งเดินมาไหว้อาต้อย อืม เหมือนมาดูคอนเสิร์ทเอเอฟเลยนะเนี่ย

คอนเสิร์ทจะเริ่มแล้ว กอล์ฟมาถึงสองทุ่มครึ่งพอดี โชคดีที่ทันนะเนี่ย เรานั่งอยู่บนแสตนด์ซึ่งก็มองเห็นกลางเวทีอะนะ แต่ก็แบบไกลๆหน่อย ข้างหลังสักเกตว่าเป็นชาวดอยช์นั่งอยู่คู่นึง เริ่มคอนเสิร์ทโดยวงดนตรีก็เริ่มโหมโรงmedleyเพลงของคุณลุง หลังจากนั้นคุณลุง Georgeกับ คุณลุง Al ก็ออกมาร้อง Breezing ด้วยกัน จบแล้วคุณลุง Alก็โชว์เดี่ยวไปก่อนเกือบชั่วโมง ฉันก็รอๆๆเมื่อไรคุณลุง George จะกลับมา พอคุณลุง Al เหนื่อยแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาคุณลุง George โชว์เดี่ยวไปเกือบสิบเพลง เก่งมากๆ ฉันก็เคลิ้มไปกับดนตรีของคุณลุง ไม่น่าเชื่อว่าเพลงที่คุณลุงเล่นฉันก็รู้จักเกือบหมดเลย แสดงว่าเป็นแฟนตัวจริงนะเนี่ย ตอนที่คุณลุงร้อง Turn the love around ฉันอยากลุกเต้นมากๆ น่าเสียดายที่แคบไปหน่อย เต้นไปอาจตกแสตนด์ตายได้ ระบบเสียงในคอนก็โอเคนะ เพียงแต่เก้าอี้แข็งไปหน่อย นั่งแล้วเมื่อยนะ พอคอนเสิร์ททำท่าจะจบ คนก็ทยอยออกกันใหญ่ ไม่รู้จะรีบกลับไปไหน ส่วนคนหน้าเวทีก็กรี๊ดๆเรียกให้ลุงทั้งสองออกมาร้องอีก คุณลุงแกทนไม่ได้เลยออกมาโซโล่ต่อ แล้วจบด้วยเพลง Everytime you go away ...you take a piece of me with u...

เป็นค่ำคืนแห่งความฝันจริงๆ รู้สึกคุ้มค่าที่ชีวิตนึงได้มีโอกาสดู George Benson ศิลปินคนโปรดเล่นคอนเสิร์ทสดนะ เป็นคอนเสิร์ทที่ดูไปมีความสุขไปจริงๆ

Sunday, August 31, 2008

ข้อคิดจากโอลิมปิก 2008

Mascot แสนน่ารักจาก Beijing Olympic Game 2008

กีฬาโอลิมปิกจบไปแล้วพร้อมเรื่องราวต่างๆมากมาย ฉันเองก็ติดตามบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับติด ได้ดูจริงๆก็จะเป็นช่วงเสาร์อาทิตย์มากกว่า แล้วก็มวยนัดที่เรามีชิงเหรียญทอง ส่วนผลการแข่งขันก็เป็นไปตามคาดว่าจีนเป็นเจ้าเหรียญทอง

ฉันว่าสิ่งน่าสนใจมากกว่าผลการแข่งขันคือฉันได้เรียนรู้อะไรดีๆจากนักกีฬาเหรียญทองของไทยทั้งสองคนคือน้องเก๋ เจ้าของเหรียญทองยกน้ำหนักรุ่น 52 กก. และสมจิต นักชกเหรียญทองคนเดียวของไทยจากปักกิ่งเกมส์ ทั้งสองคนคล้ายกันอย่างนึงคือเมื่อสี่ปีก่อนทั้งสองเจอความผิดหวังจนถึงกับถอดใจไปแล้วว่าจะเลิกรับใช้ทีมชาติ โชคดีที่สุดท้ายกลับมาสู้ต่อจนได้เหรียญสมความตั้งใจ

มันทำให้ฉันเห็นสัจธรรมเลยนะว่าบางครั้งเราก็ต้องยอมรับกับความผิดหวัง ในเมื่อมันยังไม่ใช่วันของเรา ก็ถือซะว่าพรุ่งนี้ยังมีอีก ล้มวันนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวันนั้นสำหรับเราอีก ใครจะไปรู้ อนาคตข้างหน้าอาจมีวันที่เราสำเร็จบ้างก็เป็นได้ Be Positive

Tuesday, August 12, 2008

AF5 หนทางสู่ดวงดาวของเด็กบ้านๆคนนึง


คอนเสิร์ทวีคสุดท้าย กับห้าคนสุดท้าย เวทีสวยจัง

จะไม่เขียนถึงเอเอฟซีซั่น 5 คงจะผิดประเพณีแน่ๆ ปีนี้จบเร็วกว่าปีที่แล้ว ถ้าเทียบความสนุกก็คนละแบบนะ ปีก่อนเป็นเพราะคนที่ฉันเชียร์คือน้องแจ๊คออกเร็วมาก ฉันเลยไม่ค่อยอยากดูต่อ จะดูก็แต่คอนเสิร์ทเท่านั้น ปีฉันดูเยอะกว่าปีที่แล้วนะ คนที่เชียร์ค่อนข้างหลากหลายนะ ปีนี้ฉันเชียร์อยู่สามคนคือกรีน โบว์และรอน คนแรกนี่เชียร์เพราะบุคลิกดูโดดเด่นมาก ร้องเพลงงั้นๆ แต่มีเสน่ห์ สูง หน้าตาเก๋ไก๋ คนที่สองนี่ฉันเก็งว่าจะต้องติดหนึ่งในห้าแน่นอนเพราะว่าโดดเด่นมากเมื่ออยู่บนเวที แถมสวยอีกต่างหาก ในบ้านก็ดูโอเค ตั้งใจเรียน ส่วนคนสุดท้ายคือน้องรอนนี่เห็นว่าดูบ้านๆดี ก็เลยเชียร์ ฉันน่ะชอบเชียร์คนที่ดูบ้านๆ เรียบร้อยๆมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอไปสักพัก โบว์ออก รู้สึกเซ็งมาก กรีนก็ทำตัวแปลกๆขึ้น ไปคลุกคลีกับปั้มมาก เลยไม่ค่อยชอบแล้ว ทีนี้ก็เหลือแต่น้องรอนให้เชียร์

หลังจากร้องเพลงสุดท้ายจบ เป็นโชว์ปิดที่ได้ใจคนดูมากๆ

วีคแรกๆน้องรอนดูยังไม่โดดเด่น การแสดงงั้นๆ ดูอกกจะเด็กๆไปด้วยซ้ำ แต่ฉันชอบที่น้องยิ้มเก่งดี ดูน่ารัก พอวีคที่ร้องเพลงขอบคุณยังน้อยไป โอ ได้เห็นศักยภาพการเต้นของน้องแล้วรู้สึกเลยว่าน้องเริ่มฉายแววแล้ว พอมาวีคเพลงเกาหลี รอนได้เพลงโปรดของฉันคือ Full of Happiness ของ Super Junior น้องรอนเต้นได้ใจมาก เป็นคนที่เก่งที่สุดในเอเอฟเลยมั้ง พอวีคBattle นี่ไม่ต้องพูดถึง เพลงShe bangsนี่ตราตรึงในจิตใจฉันมาก เป็นโชว์ที่ฉันชอบที่สุดเลยนะ เพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ฉันชักอยากให้น้องไปถึงวีคสุดท้ายจริงๆซะแล้ว

สุดท้ายน้องก็ไปถึงอิมแพคจริงๆ แถมได้รองชนะเลิศอีก ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย

เหลือสองคนสุดท้ายกับนัททิว

ฉันไปหาคลิปเก่าไนบ้านมาดู ได้เห็นว่าน้องรอนเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากๆ ที่บ้านเขาค่อนข้างลำบาก เขาไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ ต้องช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่อยู่ม.ต้น แต่เขาไม่ได้มองความยากลำบากนั้นเป็นอุปสรรคในชีวิตเลย น้องเคยพูดในคลาสแอ็คติ้งว่า "ขอบคุณความลำบาก เพราะความลำบากสร้างคน" น้องรอนสอนอะไรฉันเยอะเลยนะเนี่ย


แชมป์และรองแชมป์ เอเอฟห้า


ตอนนี้น้องฉายแววเต็มตัวแล้ว หน้าตาก็ดูดีขึ้นมาก ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาสามเดือนจะทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ฉันก็คงติดตามผลงานของน้องไปเรื่อยๆ

อืม ถ้าจะถามว่าตอนนี้น้องแจ๊คหายไปไหนแล้ว อืม ก็ความรู้สึกมันซาๆไปตั้งนานแล้วล่ะ บ้าอยู่พักนึง ตอนนี้ก็เฉยๆแล้วล่ะ ฉันก็งี้แหละ เบื่อง่าย ฮิฮิ

ก็ของเค้าดีจริงนิ

Monday, August 11, 2008

The Return of me Part II

กลับมาเล่าถึงชีวิตฉันหลังจากหายป่วยดีกว่า เอาเรื่องอะไรดีล่ะ ...

อ้อ วีน้องที่สนิทกันที่อยู่เยอรมนีกลับมาเที่ยวเมืองไทย แต่คราวนี้ไม่ได้มาคนเดียว หนีบหนุ่มเยอรมันมาด้วยหนึ่งคน เนื่องจากวีมีเวลาน้อยมาก ฉันเลยไปเจอเขาวันสุดท้ายก่อนเขาจะกลับ ที่บ้านพาวีไปทานข้าวที่ตึกใบหยกสอง ฉันก็เพิ่งเคยไปครั้งแรกอะ อยากบอกว่าวิวดีมากๆ อาหารก็อลังการ เป็นบุฟเฟ่นานาชาติ ฉันงงจนไม่รู้ว่าจะเริ่มกินอะไรก่อนดี สุดท้ายก็กินไม่ได้ทั่วหรอกเพราะว่าเยอะมาก ฉันได้คุยกับวีพอสมควร ฉันตั้งใจว่าปีหน้าจะไปเยี่ยมวีกับแม่ที่เยอรมนี คงถือโอกาสแวะไปประเทศใกล้เคียงด้วย

เรื่องงาน ตอนนี้โปรเจ็คก็ใกล้เสร็จแล้ว ดีใจจัง ตอนแรกคิดว่าจะไม่รอดแล้วนะเนี่ย หลังจากนี้ก็คงมีอะไรให้ทำอีก แต่ฉันว่ามันก็คงไม่หนักเท่าโปรเจ็คอีกแล้ว


นอกเรื่อง ตอนนี้ที่ทำงานเปลี่ยนโต๊ะใหม่ ยังไม่ชินกับมันเลย ฉันว่าตัวเก่าดีกว่านะ

อ้อ นี่ก็ครบรอบหนึ่งปีของ blog นี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะถูลู่ถูกังเขียนมาได้ถึงปีนะ แม้ว่าจะหายไปบ้าง ปีต่อไปจะพยายามมาเขียนให้สม่ำเสมอกว่านี้

ไปดีกว่า โฮะโฮะ

The Return of me Part I

ห่างหายจากการอัพบล็อกกว่าสองเดือน สาเหตุนั้นเกิดจากความขี้เกียจบวกกับมีเรื่องอะไรเข้ามาเยอะแยะไปหมด เป็นระยะเวลาสองเดือนที่เหมือนเป็นเวลาหนึ่งปีเลยนะ วันนี้เลยถือโอกาสรวบยอดสรุปเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา

เมื่อเดือนมิถุนา ฉันได้มีโอกาสไปนอนโรงพยาบาลครั้งแรกเพราะป่วยเป็นไข้เลือดออก ฟังดูน่าภูมิใจนะ แต่ที่ไหนได้ตอนป่วยนี่เกือบตาย ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าตัวเองเป็น มันเริ่มจากอาการเหมือนเป็นไข้นิดหน่อยในวันเสาร์ พอวันอาทิตย์ตอนเช้านี่ลุกไม่ขึ้นเลย แปลกมาก รู้เลยว่าไม่น่าเป็นไข้ธรรมดา เพราะขนาดเดินลงข้างล่างยังเหนื่อยมากๆ กอล์ฟเลยพาไปโรงพยาบาล ได้ยาแก้หวัดมาชุดนึง หมอบอกว่าถ้าอีกสามวันไข้ยังไม่ลดให้มาเจอะเลือดดู ฉันก็นอนซม กินอะไรไม่ลงเลย แถมมีอาการท้องเสีย และอาเจียนด้วย ถึงกับซีดทีเดียว ฉันพักอยู่บ้านจนถึงวันพุธ สงสารจุ๊บๆเหมือนกันเพราะช่วงนั้นงานเยอะมาก พอวันพฤหัสก็กัดฟันไปทำงาน รู้เลยว่าเบลอสุดๆ ยังไม่หายเพลียเท่าไร แต่เริ่มทานได้แล้ว พอวันศุกร์ทีนี้ละตัวเริ่มเป็นจ้ำๆ รู้เลยว่าสงสัยเจอแจ๊คพ๊อตจริงๆ เลยขอลางานไปเจอะเลือด วันนั้นปิด Payroll วันแรกพอดี สงสารจุ๊บๆมาก ต้องทำงานคนเดียว พอเจาะเลือดเสร็จ คุณหมอก็บอกผลว่าเป็นจริงๆ เกล็ดเลือดต่ำกว่า1 แสน หมอบอกให้ admitเลยนะครับ คือว่าไม่ได้ตั้งตัวเลย คุณพยาบาลก็เอาเอกสารมาให้เซ็นต์เป็นการยินยอมให้ตัวเองรับการรักษาพยาบาล แล้วคุณพี่รถเข็นก็พาฉันขึ้นไปชั้น 11 เป็นห้องเดี่ยว สภาพดีทีเดียว คุณพยายาบาลเริ่มเจอะโน่น วัดนี่ ฉันต้องให้น้ำเกลือด้วยเพราะว่าเลือดข้นมาก การที่ต้องหิ้วน้ำเกลือไปไหนต่อไหน รวมถึงเวลาเข้าห้องน้ำมันไม่สนุกเลยนะ

การนอนโรงพยาบาลให้ประสบการณ์แปลกใหม่เหมือนกันนะ ฉันไม่กลัวนะแม้ว่าจะต้องนอนคนเดียว แต่ฉันว่ามันน่าเบื่อมากกว่าเพราะวันๆทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งดูทีวี ดูจนติดหนังเกาหลีทางช่องเจ็ด แม่มดยูฮีต้องไปหาแผ่นมาดูเลย ตอนนั้นอาการของฉันมันดีขึ้นเยอะแล้ว เยอะกว่าตอนหยุดอยู่บ้านมาก เลยรู้สึกเหมือนจับเอาคนสบายดีมาอยู่เฉยๆ แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ต้องดูเอเอฟผ่านทางช่องเก้า รำคาญโฆษณาจริงๆ ทำให้เสียอรรถรถการดู แถมช่วงคอมเมนต์ก็หายไปหมด

หะมู หะตู หะออ และพี่กุงมาเยี่ยมด้วย จุ๊บๆก็จะมาแต่ฉันบอกว่าไม่ต้องเพราะว่าวันอาทิตย์ก็จะกลับบ้านแล้ว พอผลเลือดวันอาทิตย์ออก ปรากฎว่าเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นแล้ว ฉันก็ขอกลับบ้านทันที เบื่อที่จะต้องหิ้วน้ำเกลือไปๆมาๆอีกแล้วล่ะ

วันรุ่งขึ้นฉันไปทำงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ป่วยจะแย่เมื่ออาทิตย์ก่อน มีแต่คนบอกว่าฉันฟื้นตัวเร็วมาก ปกติเขาป่วยกันสองอาทิตย์กว่าจะหาย ฉันก็ว่างั้นแหละ คงโชคดีมั้ง

อาการของฉันค่อยๆหายเป็นปกติ แต่มีอาการหดหู่เข้ามาแทน ไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆก็รู้สึกเบื่อมากๆ ไม่อยากทำงาน กุ๊กบอกว่ามันเป็นอาการหลังจากฟื้นไข้ มันก็เพิ่งเป็นเหมือนกัน ฉันก็เลยขอลาหยุดหนึ่งวัน แล้วชวนเจ้ากุ๊กไปดูหนัง แล้วก็ช๊อปปิ้งทั้งวัน หมดเงินไปหลายเลย แต่ก็ดีขึ้นนะ

ตอนนี้ก็สบายดีแล้วล่ะ แต่ไม่อยากเป็นอีกแล้วนะไอ้ไข้เลือดออกเนี่ย ครั้งเดียวก็เกินพอ

Sunday, May 11, 2008

Wedding MV no.2

และแล้วก็ได้มีโอกาสทำเอ็มวีให้กับน้องแอน น้องที่ทำงานที่กำลังจะแต่งงานอีกแล้ว

ขอบอกว่าคอนเซ็ปท์คราวนี้คิดอย่างด่วนมาก ถ่ายทำก็เร็ว เบ็ดเสร็จใช้เวลาแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้น

ตอนที่คิดเรื่องราวที่จะนำเสนอ ฉันพยายามคิดถึงอะไรที่ยังไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งก็ค่อนข้างยากทีเดียวเพราะส่วนใหญ่มุขอะไรที่ฉัมีฉันก็ขุดมาใช้ตั้งแต่ทำเอ็มวีที่แล้วเสียหมดสิ้น

สุดท้ายไอเดียที่ฉันได้คือ น่าจะถ่ายแบบ outdoor ในสวนสาธารณะ ว่าแต่ที่ไหนดีล่ะที่ไม่ต้องขออนุญาตอะไรให้ยุ่งยาก และอยู่ใกล้ออฟฟิศด้วย เพราะต้องถ่ายช็อตเด็ดของพี่ก้องแฟนน้องแอน

สรุป เอาสวนลุมนี่แหละ

วันเสาร์ คณะถ่ายทำซึ่งประกอบด้วยฉันและพี่กุงมาถึงที่ตึกตั้งแต่หกโมงสี่สิบห้า แอนกับพี่ก้องมาตรงเวลามาก ฉันอยากรีบถ่ายเพราะไม่แน่ใจในสภาพอากาศ โชคดีที่เช้าวันนั้นอากาศดีทีเดียว

การถ่ายทำราบรื่นดีมาก แอนนี่โปรจริงๆ กล้าทำกล้าร้อง ฉันก็ถ่ายวีดีโอลูกเดียว ไม่สนใจอาเจ็กอาแปะอาซิ่มที่มาออกกำลังกายที่สวนลุมเลย

พอสักเก้าโมงเราก็เคลื่อนทัพไปยังตึกหรินทรเพื่อถ่ายฉากในออฟฟิศต่อ พอสิบโมงก็ยุติ

การตัดต่อใช้เวลาสั้นมาก พอทำออกมาแล้วแอนกับพี่ก้องก็ชอบ เลยแทบไม่ได้แก้ไขอะไรเลย

วันฉายจริงคือวันแต่งงานแอน ฉันก็แอบวิตกนิดหน่อยว่าตอนฉายจะมีปัญหาอะไรมั้ย แต่สุดท้ายก็ราบรื่นดี

สำหรับเอ็มวีแงงานนี่คงเป็นงานสุดท้ายที่จะทำแล้วล่ะ ฉันอยากลองทำอย่างอื่นดูบ้าง แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันเพราะฉันเป็นคนใจอ่อนนะสิ ถ้าเป็นคนที่สนิทๆมาขอ ฉันอาจหวนมาจับกล้องอีกก็เป็นได้นะ

Sunday, May 4, 2008

เกาะหมาก ทริปแบบขำๆ

ถ่ายจากมุมท่าเรือ


พวกเพื่อนๆเซ็นต์โยของฉันวางแผนจะไปเกาะหมากกันตั้งแต่ต้นปี แต่มาคุยกันจริงๆจังๆเมื่อสองเดือนก่อน

มันเป็นการเดินทางที่หฤหรรย์จริงๆ

เรานัดเจอกันที่สถานีขนส่งเอกมัยตอนห้าทุ่ม รถทัวร์เชิดชัยออกจากสถานีตรงเวลาเผงคือห้าทุ่มครึ่ง พอขึ้นรถฉันก็นอนเลย นอนไม่ค่อยสนิทหรอก แต่ก็พอได้งีบบ้าง

พวกเราถึงท่ารถจังหวัดตราดตอนตีสี่ พอรู้จากแหม่มว่าต้องรอเรือรอบสิบโมงเช้า อีกตั้งหกชั่วโมง เท่ากับเวลานั่งรถมาจากกรุงเทพเลยนะเนี่ย แล้วจะทำอะไรดีเนี่ย

ฉันก็นั่งๆ เดินๆ ออกไปหาของกินที่ตลาด ไปเซเว่น รอตักบาตร ฝนก็ตกพร่ำๆเสียด้วย อากาศไม่ดีเลยแฮะ

เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ พอได้เวลาใกล้สิบโมง เราก็นั่งรถสองแถว (ซึ่งคนขับนั่งเฝ้าพวกเราตั้งแต่ตีห้า ไม่ยอมไปไหนเลย )ไปยังท่าแหลมงอบ เพื่อขึ้น speed boat ชื่อลีลาวดี ไปยังเกาะหมาก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 45 นาที

โอ นี่เป็นการนั่ง speed boat ครั้งแรกของฉัน คนขับก็ซึ่งมาก ไม่รู้จะรีบไปไหน เผอิญว่าฉันนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดีเท่าไร ฝนก็ตกตลอด พอขึ้นเรือฉันเลยเปียกไปแถบนึง

ที่พักของเราชื่อ Koh Mak Cococape เป็นบ้านพักสองชั้นสไตล์ธรรมชาติแบบชาวเกาะ แต่ก็หรูหราน่ารักทีเดียว พวกเราสิบสองคน อยู่กันสามห้องที่สามารถเดินทะลุถึงกันได้

น่าเสียดายที่ฝนตกตลอดสามวันที่ไป ทำให้ไม่ได้ไปร่วมโปรแกรมดำน้ำกับเขา แต่ฉันเชื่อว่าสิ่งที่พวกเราได้จากทริปนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว

ดูได้จากรูปที่ถ่ายตลอดสามวัน ไม่ธรรมดาจริงๆ

Sunday, April 13, 2008

แม่บ้านจำเป็นช่วงวันหยุดสงกรานต์

สงกรานต์ปีนี้นอกจากจะไม่ได้ไปไหนแล้ว แถมยังจะต้องเป็นแจ๋วอีก เพราะว่านวลขอกลับบ้านเกือบสิบวัน หลังจากต่อรองวันกลับอยู่นาน ฉันก็ยอมให้เขาไป แต่ฉันเองก็แอบกังวลเหมือนกัน เพราะนวลไม่เคยกลับบ้านมาหลายปีแล้ว แต่ก่อนก็ยังมีแม่บ้านสองคนเสมอ นี่หมายความว่าฉันกับน้องชายต้องดูแลทำความสะอาดบ้านและหากินเองจนกว่านวลจะกลับ ส่วนตัวฉันเองฉันน่ะเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่เจ้าน้องชายสิ แอบอดห่วงไม่ได้ ไหนจะมิมิอีก

ฉันเลยต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตื่นแต่เช้าไปตลาด ซื้อของกินมาให้น้อง ทำความสะอาดห้อง ล้างห้องน้ำ เจ้าน้องชายก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียง ช่วยล้างจาน เอาขยะไปทิ้ง ถูพื้นด้วย ไม่น่าเชื่อนะเนี่ยว่าจะทำได้

ผ่านไปครึ่งทางแล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องเข้าไปทำงานแล้ว น้องต้องอยู่บ้านคนเดียว ฉันหวังว่าเราสองคนจะอยู่รอดปลอดภัยจนกว่านวลกลับมานะ

Sunday, March 30, 2008

สัปดาห์แห่งการกิน



ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่เรื่องกินเป็นหลักจริงๆ

เมื่อวันที่ 23 ไปไหว้เช็งเม้งมา ที่บ้านเลยมีของกินเพียบ ทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ แกงฮังเลฝีมือตั่วโกว รู้ๆอยู่ตั่วโกวก็ทำอาหารอร่อยจะตาย ฉันเลยกินเต็มเหนี่ยวอยู่หลายวันจนเอียนเป็ดไก่ไปเลย

ช่วงสองอาทิตย์นี้ที่เซ็นทรัลพระรามสามมีเทศกาลไอศครีม ฉันก็ไปวนเวียนอยู่ที่นั่นหลายวัน ทั้งชิมทั้งซื้อกิน อิ่มไปเลยทีเดียว ตอนแรกตั้งใจรอกินไอศกรีมบุฟเฟ่ราคาพิเศษตอนหกโมงครึ่ง ปรากฎว่าคนรอเป็นหางว่าว เลยเปลี่ยนใจซื้อกินก็ได้ แล้วก็ซื้อไอศกรีมของฟาร์มโชคชัยกลับบ้าน


วันพุธมีนัดทานอาหารเสปนกับเพื่อน อยู่แถวเพลินจิต ราคาใช้ได้ทีเดียว บรรยากาศก็โอเคนะ ดูเงียบๆ ส่วนอาหารก็จัดว่าอร่อยนะ ทั้งสลัด ปาเอย่าทะเล ซึ่งมาเป็นกะทะใหญ่เชียว เพื่อนๆของฉันสั่งไม่ยั้งเลยเพราะหิว ส่วนฉันก็กินไปเยอะทีเดียวเพราะอร่อยมาก ทำให้คิดถึงตอนอยู่ที่บาร์เซโลน่าจัง


วันเสาร์ไปกินบุฟเฟ่ติ่มซำที่โรงแรม Miracle Grand ดอนเมือง พอไปถึงดันไปจ๊ะเอ๋กับประชุมพรรคการเมืองหนึ่ง แถมยังเจอเหล่าบรรดาแกนนำพรคที่ร้านอาหารอีก ฮิฮิ บทสนทนาเลยงดเรื่องการเมือง เปลี่ยนไปคุยเรื่องอิมซังอ๊กแทน ว่าแต่ติ่มซำที่นี่อาหารอร่อยมากๆเลย เท่าที่ฉันเคยกินมาฉันชอบที่นี่มากที่สุด นอกจากติ่มซำก็จะมีของทอด เช่น ปอเปี๊ย ราดหน้า โห ที่ฉันประทับใจที่สุดคงเป็นซาลาเปาไส้ครีมซึ่งมาเป็นอย่างสุดท้าย แต่หอมอร่อยที่สุดเลย ขนาดอิ่มแล้วนะเนี่ยยังอยากกินอีกเลย สรุปวันนั้นกินไปเยอะมากๆ

วันอาทิตย์ เราทั้งครอบครัวยกโขยงไปกินที่ร้านของพี่ชายที่แถว ม กรุงเทพ รังสิต ซึ่งเป็นร้านที่เขาหุ้นกับเพื่อน ร้านชื่อ CEO อืม ไม่ได้หมายถึงตำแหน่งเจ้าของบริษัทอะไรหรอก มันเป็นชื่อกลุ่มของเพื่อนเขาน่ะ พวกเราไปถึงก่อนเวลาร้านเปิดปกติ ร้านมีสามชั้น แต่เปิดแค่สองชั้นก่อน เป็นสไตล์นั่งพื้น อาหารก็เป็นกับข้าวไทยๆและก็กับแกล้ม พ่อบอกว่าใช้ได้นะ ฉันก็ว่าโอเค


ผลพวงของการกินไม่ยั้งทำให้ฉันน้ำหนักขึ้นแตะตัวเลขสูงสุดในรอบสองปี นับตั้งแต่กลับจากเยอรมนี เศร้าจริงๆ

Wednesday, March 26, 2008

เกือบจะได้ทำดีแล้วเชียว

วันนี้ตั้งใจจะไปบริจาคเลือดเป็นครั้งที่สี่ แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง เพราะเลือดของฉันจาง ที่จริงมันจางนิดหน่อยเอง ไม่รู้เป็นเพราะดื่มน้ำเตรียมไปเยอะเกินรึเปล่า หรือไม่ก็ช่วงนี้นอนไม่ค่อยพอ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะส่งผลได้ขนาดนั้น คุณพยาบาลให้ยาธาตุเหล็กมา6ถุง ฉันตั้งใจว่าจะลองกินทุกวันและนอนพักผ่อนเยอะๆ อีก สองอาทิตย์จะลองไปใหม่

ฉันไม่ถึงกับเสียความตั้งใจหรอก แค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยและก็แอบสงสัยว่าทำไมจู่ๆเลือดจาง แต่ก็ดีนะ พอลองหาข้อมูลดูมันทำให้ฉันเข้าใจมากขึ้นว่าภาวะเลือดจางเกิดขึ้นได้ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอ ยาบำรุงที่เขาให้ก็ควรจะกิน ปกติฉันไม่ค่อยทานเลย กินอยู่วันเดียวก็เลิก สงสัยคราวนี้คงต้องเชื่อคุณพยาบาลซะแล้ว

วันนี้ได้รับอีเมลเกี่ยวกับไดอารี่ของอาจารย์เอแบคที่กระโดดตึก อ่านแล้วฉันก็ปลงนะ เขาคิดว่าแฟนคือทั้งชีวิตของเขา พอแฟนขอเลิกก็ทนไม่ได้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

น่าเสียดายชีวิตของเธอมาก เพียงเธอระลึกได้ว่าที่จริงก่อนที่เธอจะเจอเขาคนนั้น เธอก็เคยอยู่คนเดียวได้ มีชีวิตที่ปกติสุขดี เธอจะไม่รู้สึกเลยว่าขาดเขาแล้วเธอจะไม่สามารถทนได้
คนเรามักคาดหวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง วาดฝัน จินตนาการไปเรื่อย แต่พอสิ่งนั้นมันพังทลายไปก็เกิดอาการรับไม่ได้ ผิดหวัง เสียใจ

ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ทำไมพุทธศาสนาถึงเน้นกับการปล่อยวาง ก็เพราะทุกสิ่งในโลกมันเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น และสิ่งต่างๆหล่านี้มันเป็นไปตามกฏของไตรลักษณ์ คือ ทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง
วันนี้เราเป็นคนรักกัน พรุ่งนี้อาจไม่ใช่อีกแล้ว รอบๆตัวเราเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ถ้าเรายอมรับสภาพการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมหมายถึงเรากำลังต่อต้านความจริงข้อนี้อยู่ เราก็จะรู้สึกฝืน และทนไม่ได้

ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไร ชีวิตก็ย่อมเป็นสุขได้เร็วเท่านั้น

Sunday, March 23, 2008

เทศกาลเช็งเม้ง และเรื่องอื่นๆ



ครบรอบอีกหนึ่งปีของเทศกาลเช็งเม้งอีกแล้ว ปีนี้ถือว่าไปไหว้เร็วกว่าปกติเพราะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ทำให้ต้องเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นหนึ่งอาทิตย์
เราออกจากบ้านกันแต่เช้าเหมือนเดิม ประมาณเกือบๆหกโมงเช้า ไปถึงสุสาน 8 โมงพอดี ไหว้ถึง 10 โมงก็เก็บของ กลับถึงบ้านก็เกือบๆบ่ายโมง อากาศนี่ร้อนใช้ได้เลย ทำเอาสลบไปเลยเมื่อกลับถึงบ้าน



อยากจะเขียนอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ประสบมาสักหน่อย ฉันเป็นคนที่เชื่อเรื่องของบาปบุญคุณโทษและเรื่องเวรกรรมมาตั้งแต่เด็กแล้ว อาจเป็นเพราะแม่สอนฉันเรื่องนี้บ่อยๆ แม่บอกว่าถ้าเราจิตใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือคนบ่อยๆโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เมื่อถึงคราวที่เราลำบาก ฟ้าก็จะส่งคนมาช่วยเรา

ฉันเคยประสบด้วยตัวเองหนนึงตอนที่ยังอยู่เยอรมนี ตอนที่ฉันจะย้ายบ้าน ตอนนั้นฉันมืดแปดด้านจริงๆ เพราะไม่รู้จะจัดการกับของอย่างไร จะขนไปยังไง จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใคร ยอมรับเลยว่าเครียดมาก เพราะมีเวลาแค่สองอาทิตย์เอง จู่ๆพี่ที่ฉันรู้จักคนนึงก็พาคนมาช่วยฉันโดยที่ฉันไม่ทราบเรื่องเลย ตอนนั้นฉันดีใจสุดๆ ซาบซึ้งในน้ำใจของพี่เขามากๆ

หนที่สองเพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้เอง ขณะที่ฉันกำลังมืดแปดด้านเรื่องบ้าน ฟ้าก็ส่งคนมาช่วยฉัน นึกๆไปแล้วมันก็ตลกดีนะ จะว่ามันเป็นเหตุบังเอิญก็ไม่เชิง ฉันนึกถึงคำที่คุณดังตฤณเขียนในหนังสือเอาไว้ว่า ความบังเอิญไม่มีในโลก มีแต่เหตุผลที่คนเราไม่รู้

ฉันรู้เพียงว่าฉันไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยเอาเปรียบใคร เวลาใครมาขอความช่วยเหลือ ฉันก็ช่วยเท่าที่จะทำได้ ฉันไม่ได้หวังว่าเขาจะต้องซาบซึ้งในบุญคุณ หรือสิ่งที่ฉันทำให้ ฉันว่าของแบบนี้อยู่ที่บุญกรรมของเจ้าตัวเขาเอง ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องไปทุกข์ร้อนอะไร

ตอนนี้ฉันกำลังเผชิญหน้ากับคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คนที่ไม่เคยใส่ใจในความทุกข์ร้อนของผู้อื่น คนที่อัตตาสูง แต่คุณธรรมต่ำมาก คนที่เอาเปรียบผู้คนรอบข้าง คนที่ไร้สัจจะ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดจะรวมอยู่ในคนนเดียวนะเนี่ย

ฉันได้แต่หวังว่าจะหมดกรรมกับคนผู้นี้โดยเร็ว ที่ผ่านมาฉันอาจจะติดหนี้กรรมเขามารึเปล่าก็ไม่อาจทราบได้นะ เอาเป็นว่าขอให้มันหมดไปในชาตินี้เถอะ ฉันไม่อยากเจอคนแบบนี้อีกแล้ว

Friday, March 14, 2008

เรื่องของดวง

หมู่เกาะโบรา โบร่า สวยจังเลย

ช่วงนี้มีคนถามฉันเรื่องหมอพีร์มากเหลือเกิน หลังจากที่ฉันได้แนะนำพี่ที่ทำงานคนนึงไป ที่จริงฉันไม่ได้แนะพี่เขาจริงๆจังๆหรอก แต่แค่แนะแบบอ้อมๆโดยการให้หนังสือของหมอพีร์ไปอ่านก่อน ฉันเดาได้แหละว่าพี่เขาคงจะสนใจอยากจะดูแน่เลย

ตอนที่เอาหนังสือให้หมอพีร์เซ็นต์ เขาถามฉันว่าจะเอาไปให้ใครเหรอ ฉันตอบไปว่าไว้เอาไปแจกคนอื่นค่ะ ตอนนั้นฉันก็ยังไม่มีไอเดียว่าจะให้ใครหรอก แค่คิดว่าเจอใครที่เหมาะก็จะให้ละกัน

ฉันว่าของแบบนี้ต้องเป็นคนที่เชื่อเรื่องกรรมระดับหนึ่งถึงจะสนใจ เพราะหมอพีร์ไม่ใช่ประเภททำนายอนาคตได้แม่นยำแบบน่าใจหาย แต่เขาจะอธิบายสาเหตุของกรรมเก่าซึ่งส่งผลมายังชีวิตปัจจุบันมากกว่า สิ่งที่เราได้คือความเข้าใจว่าทำไมแต่ละคนถึงมีชีวิตที่ต่างกัน มีปัญหาที่ต่างกัน มีนิสัยและความคิดที่ต่างกัน สำคัญคือหมอพีร์ย้ำเสมอว่าเราสามารถเปลี่ยนดวงชะตาเราได้ โดยต้องอาศัยบุญที่ทำในปัจจุบันมาช่วย รวมถึงการเปลี่ยนความคิดให้เป็นคนปล่อยวางได้ง่าย ให้อภัย และยึดมั่นในศีลทุกข้ออย่างหนักแน่น

ฉันค่อนข้างเชื่อในเรื่องนี้เพราะฉันลองมากับตัวแล้ว ภายในหนึ่งปีที่ผ่านมาหมอพีร์บอกว่าฉันดีขึ้น 50%แล้ว ฉันเองก็พอรู้สึกได้ว่าจิตใจดีขึ้นมาก ไม่หดหู่ง่ายเหมือนแต่ก่อน ปล่อยวางได้เร็วขึ้น ไม่คิดมาก ไม่คาดหวังอะไรมากมาย

สำหรับฉันคงไม่คิดจะไปหาหมอดูคนไหนอีกแล้วล่ะ ที่จริงฉันไม่ค่อยชอบดูดวงเท่าไรหรอก หมอพีร์นี่แหละถูกจริตที่สุดแล้ว คุยด้วยแล้วสบายใจ

สำหรับคนอื่นๆ ฉันก็แนะนำแบบกลางๆไป อย่างที่บอก การทำนายแบบนี้อาจจะเหมาะกับบางคน แต่ไม่เหมาะกับอีกหลายคน คงต้องคิดเอาเองว่าแบบนี้เหมาะกับเรารึเปล่า

Friday, March 7, 2008

สุขสันต์วันเกิดปีที่ 29



วันเกิดปีนี้ออกจะเป็นปีที่แปลกสักหน่อย เพราะฉันรู้สึกเฉยๆกับมันมาก
ไม่รู้สิ ฉันว่าปีๆนึงมันผ่านไปเร็วนะ แป๊ปเดียวถึงวันเกิดอีกแล้ว แต่ปีนี้ก็มีเรื่องให้น่าดีใจนะเพราะมีเพื่อนที่ไม่ได้คุยกันนานหลายคนโทรมาอวยพรวันเกิด แปลกใจเหมือนกันที่ยังมีคนจำวันเกิดเราได้ด้วยแฮะ ปกติฉันเองเป็นคนจำวันเกิดใครไม่เก่งซะด้วย เลยแปลกใจเป็นธรรมดาที่ยังมีคนจำวันเกิดของฉันได้

ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่อายุของฉันมีเลขสองนำหน้า บางคนบอกว่ามันสำคัญสำหรับผู้หญิง เพราะมันเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหาแฟนแต่งงานก่อนอายุสามสิบ บอกตามตรงเลยนะว่าฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไร ฉันไม่คิดว่าคนที่แต่งงานก่อนสามสิบจะมีความสุขมากกว่าคนที่แต่งงานหลังสามสิบ สำหรับฉัน ผู้หญิงอายุสามสิบดูเป็นผู้หญิงที่มั่นคงจะตายไป ไม่ชวนกันทะเลาะด้วยเรื่องไร้สาระ ดูเป็นคนสุขุมและมีเหตุผล ว่าแต่ตัวฉันเป็นถึงขั้นนั้นรึยัง คำตอบคือยังไม่ซะทีเดียว แม้ว่าฉันจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อดทนมากขึ้น มองอะไรๆเปลี่ยนไปบ้าง แต่ฉันก็ยังมีนิสัยอีกหลายอย่างยังแย่อยู่

ตอนนี้ฉันรู้ตัวเลยว่าตัวเองยังไปไม่ถึงเป้าหมายของการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างที่หมอพีร์ได้แนะนำไว้ หนึ่งปีที่ผ่านมาฉันทำได้ประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เหลืออีกหนึ่งปีคือปีนี้แหละที่ฉันต้องพยายามทำต่อไปอีก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ปีนี้ฉันคงยังต้องเจอเรื่องอะไรอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องบ้าน ฉันหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยสอนให้ฉันเข้มแข็งขึ้น มีสติมากขึ้น มีทัศนคติที่ดี รู้จักปล่อยวางอะไรมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ดีในชีวิตของฉันต่อไปในภายหน้า



Friday, February 29, 2008

จบตำนานพ่อมดน้อย Harry Potter




ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ซื้อ Harry Potter ยกชุดมาเมื่อเสาร์ที่แล้ว

ฉันคิดไว้นานแล้วว่าเมื่อไรที่มันออกครบ 7 เล่ม ฉันจะซื้อมาเก็บไว้ยกชุด ทีแรกฉันตั้งใจจะไปซื้อที่ร้านของนานมีเพราะได้ส่วนลดเยอะกว่าร้านทั่วๆไป แต่ก็ไม่ได้ไปสักที บังเอิญว่าฉันไปเจอชุดปกแข็งที่ร้านการ์ตูนบนเซ็นทรัลลด 20 % เหมือนกัน แถมวันนั้นเอารถไปล้างพอดี ก็เลยตัดสินใจซื้อเลยดีกว่า เบ็ดเสร็จ สองพันแปดร้อยกว่าๆ

ฉันใช้เวลาหนึ่งวันอ่านเล่มสุดท้ายแบบรวดเดียวจบ ซึ่งฉันว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างนึงของหนังสือชุดนี้นะ คือเมื่อเริ่มอ่านแล้วมันทำให้วางไม่ลงจริงๆ แต่ละตอนผูกปมให้คนอ่านอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป

เล่มสุดท้ายนี้เปิดเผยเรื่องราวความลับต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนกุญแจของเรื่องราวทั้งหมด ฉันคงไม่เล่าในนี้หรอก เพราะมันเยอะมาก เอาเป็นว่าเล่มจบนี้ทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าคนเราทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านมืด ไม่มีใครที่เลวสุดโต่ง (ยกเว้นลอร์ดโวลเดอมอร์ตคนนึง) หรือดีสุดขั้ว แม้แต่ดัมเบิลดอร์ที่ดูเหมือนจะperfectเหลือเกิน ก็ยังมีช่วงชีวิตที่มืดมนเหมือนกัน (รวมถึงความจริงอันน่าตกใจที่ว่าดัมเบิลดอร์เป็นเกย์ด้วย)

พออ่านเล่มนี้จบ ฉันก็เอาเล่มแรกๆกลับมาอ่านใหม่ จำได้ว่าสองเล่มแรกอ่านตอนทำงานอยู่ Siemens แน่ะ นานมากทีเดียว บางตอนก็ลืมๆไปแล้วล่ะ ต้องมารื้อฟื้นกันใหม่

ฉันว่าในบรรดา7 เล่ม เล่มที่ทรมานจิตใจที่สุดคงเป็นเล่มที่ 5 The Order of Phoenix เพราะหนามากๆ พักกว่าหน้าได้มั้ง แต่อย่างไรฉันก็อ่านรวดเดียวจบเหมือนกัน รู้สึกว่าใช้เวลาประมาณสองวันสองคืนได้มั้ง

ฉันยอมรับเลยนะว่าคนแต่งนี่เก่งจริงๆ ปกติฉันใช่จะชอบอ่านนิยายหรือวรรณกรรมสักเท่าไร แต่เรื่องนี้นี่ทำให้ฉันวางไม่ลงทุกเล่มเลย ฉันชอบการผูกเรื่อง ปริศนา มุขตลก และสาระที่สอดแทรกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เขาทำได้ดีมากๆ

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าไม่มีใครที่สมบูรณ์ไปซะทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าเป็นปุถุชนแล้ว เป็นธรรมดาที่จะมีทำผิดพลาดไปบ้าง อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับมันได้มากแค่ไหน


ไม่น่าเชื่อว่าวรรณกรรมเด็กจะแฝงคำสอนได้ลึกซึ้งเพียงนี้ เอ หรือว่าฉันคิดมากไปเองหว่า

Wednesday, February 20, 2008

My Valentine Day



ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องวันวาเลนไทน์ให้ตรงวัน นี่ก็ล่วงเลยมากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว ก็ช่วงที่ผ่านมาฉันยุ่งทีเดียว เลยไม่มีเวลานั่งเขียนจริงๆจังๆซักที

ที่อยากจะเขียนก็ใช่ว่าจะมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นในปีนี้หรอก ชีวิตของฉันมันยังไม่มีอะไรหวือหวาในเรื่องนี้เท่าไร สำหรับฉันมันก็แค่วันทำงานวันนึงที่ยุ่งจริงๆ แถมรถก็ยังติดอีกต่างหาก ต้องรอจนดึกกว่าจะได้กลับบ้าน

ตลกดี ฉันกับน้องอีกคนที่ทำงานระลึกได้ว่าปีที่แล้วก้เหลือเราสองคนแบบนี้แหละในออฟฟิศคืนวันวาเลนไทน์ เมื่อปีก่อนเราพูดติดตลกกันว่า นี่จะเป็นปีสุดท้ายที่เราจะนั่งหงอยแบบนี้

ผ่านมาปีนึงเร็วจริงๆ ทว่าสถานการณ์ยังคงเหมือนเดิม เราเลยคุยกันเหมือนเดิมว่าปีหน้าจะไม่เอาอีกแล้ว

ฉันแอบเห็นสาวๆหลายคนในที่ทำงานฉันได้ดอกไม้ โห ได้ข่าวว่าดอกไม้แพงน่าดู กุหลาบดอกนึงตั้ง 200 แน่ะ ผู้ชายบางคนนี่เจ้าบุญทุ่มน่าดูเลย

ฉันว่าผู้หญิงคงดีใจที่ได้ดอกไม้นะ มันเหมือนกับว่าตัวเองมีค่าในสายตาของอีกคนนึงเหลือเกิน
ความรักมันก็น่าตื่นเต้นอย่างนี้แหละ มีหวือหวาเป็นครั้งคราว

ในวันนี้เองเราจะสามารถเห็นความสุดโต่งของคนสองกลุ่ม พวกแรกคือคือพวกที่มีความสุขกับวันแห่งความรักนี้ คือ ได้ดอกไม้ ได้ไปดินเนอร์ หรือได้ของขวัญจากแฟน กับคนอีกพวกนึงที่เกลียดวันนี้ เนื่องด้วยเพิ่งจะอกหัก เพิ่งเลิกกับแฟน บางคนแทบอยากจะหลับข้ามวันเลยทีเดียว

สำหรับผู้ซึ่งอยู่กลางๆเช่นฉัน คือไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับวันแห่งความรักนี้ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้คนเราสมมติทึกทักกันเอาเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันพ่อ วันแม่ วันครู ฯลฯ ถ้าเราจะแสดงความรักกับใคร อีแค่วันเดียวต่อปีมันไม่เพียงพอหรอก ฉันว่าทำมันทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้ดีกว่า

แล้วการที่เราไม่มีแฟน ไม่ได้หมายความว่าเราจะแสดงความรักต่อคนอื่นไม่ได้ซะที่ไหนล่ะ อย่างน้อยๆเราก็รักตัวเรา ครอบครัวเรา เพื่อนฝูง และอื่นๆอีกมากมายได้ ทำไมจะต้องไปทุกข์กับมันด้วย

ฉันเชื่อว่าคนที่มีแฟน เขาก็สุขและทุกข์แบบคนที่มีแฟน คนโสดก็เหมือนกัน แล้วจะไปอิจฉาทำไม ไอ้ความสุขแบบหวือหวาน่ะ มันมาเร็วไปเร็ว ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไป

การอยู่กับตัวเองให้ได้ มีความสุขกับตัวเองเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เพราะมันเป็นความสุขที่มาจากข้างใน มิใช่เกิดจากปัจจัยภายนอกซึ่งเอาอะไรแน่นอนกับมันไม่ได้เลย

Sunday, February 10, 2008

มาอัพเดตดวงชะตากันหน่อย

เมื่อวานได้ฤกษ์ไปหาหมอพีร์เป็นครั้งที่สอง ซึ่งห่างจากครั้งแรกไปประมาณปีเศษๆ

ที่จริงเมื่อปลายปีก่อนฉันพยายามโทรนัดหมอพีร์ทีนึง แต่ทว่าคิวยาวมาก ต้องรออีกประมาณสองเดือน ฉันเลยยกเลิกความตั้งใจที่จะดู อีกทั้งชีวิตตอนนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหนักหนา พอมาต้นปี จู่ๆฉันนึกอะไรก็ไม่รู้ ลองโทรไปนัดเขาอีกรอบ ฉันบอกว่าเคยพยายามนัดแล้วทีนึงแต่ไม่สำเร็จ เขาเลยให้คิวฉันเป็นอีกสองอาทิตย์หน้า ซึ่งก็ถือว่าเร็วมากๆถ้าเทียบกับตอนโทรมาปกติ

ฉันไปดูกับพี่ชายเจ้าเก่า ตอนนี้หมอพีร์ย้ายบ้านไปอยู่ลาดพร้าว101แล้ว เลยต้องมาคลำทางกันใหม่อีกรอบ บ้านเข้าไปในซอยลึกเหมือนกัน โชคดีที่ฉันถามทางมาก่อน เลยไม่หลง
หมอพีร์บอกว่าฉันดีขึ้น 50% แล้ว ทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจที่ดีที่จะเปลี่ยนตัวเองต่อไปนะเนี่ย และก็ย้ำให้หาโอกาสทำบุญไปเรื่อยๆ คิดโปรเจ็คใหม่ๆหรือไอเดียอื่นๆในการทำบุญ อีกทั้งให้มีความสุขกับตัวเองมากๆ ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไร คงต้องรอปีหน้าถึงจะมีโอกาสที่ดีในชีวิตมามากขึ้น
การไปหาหมอพีร์ฉันมักจะได้อะไรดีๆกลับมาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่ฉันไปไม่ใช่แค่เพื่อดูดวงของตัวเองหรอกนะ แต่เป็นการไปเพื่อยอมรับตัวเอง และพร้อมที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดี ถ้าไม่ได้คุยกับหมอพีร์ ฉันคงไม่มีทางได้รู้จักตัวเองมากเท่านี้
ตอนนี้ฉันเห็นในสิ่งที่แต่ก่อนเราไม่เคยรู้ว่าเราเป็น และพยายามที่จะแก้ไขมันอยู่ มันอาจจะไม่ได้ผลทันทีทันใด แต่ฉันก็รู้สึกได้เลยว่าชีวิตมันดีขึ้นจริงๆ

Thursday, January 24, 2008

แด่ ฮีท เลดเจอร์

หลับให้สบายนะคุณฮีท

ในชีวิตฉัน พูดได้เลยว่าชอบดาราอยู่ไม่กี่คนหรอก ฉันเองก็ไม่ได้ชอบคนที่หน้าตาสักเท่าไร ส่วนใหญ่ดาราที่ชอบจะเป็นพวกมากความสามารถ เล่นบทเจ๋งๆได้กินใจ

ฉันรู้จักพ่อหนุมคนนี้จากหนังเรื่อง 10 Things I hate about you ตอนนั้นแค่สะดุดตาว่าอืม ดูเป็นพระเอกที่หน้าตาธรรมดา แต่ดูซื่อๆ ไม่กะล่อน และเซอร์ดี

หลังจากนั้นฉันก็ได้ดูผลงานเขาอีกหลายเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ประทับใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ

จนมาถึง Brokeback Mountain นี่แหละ เป็นเรื่องที่ทำให้ฉันชอบพ่อหนุ่มคนนี้ขึ้นมาจริงๆ

ปกติฉันไม่ชอบหนังเกย์เท่าไรนะ เพราะชอบนำเสนอแต่ด้านดิบๆ แต่เรื่องนี้ขอไว้เลย ฉันอยากเรียกมันว่าหนังรักมากกว่าหนังเกย์นะ เพราะเป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของความรัก แม้ว่าจะเป็นชายกับชายก็ตาม

ที่ฉันชอบฮีทจากเรื่องนี้เพราะฉันว่าเขาเจ๋งที่กล้าแสดงบทนี้ นี่มันไม่ใช่บทที่คนธรรมดาจะกล้าเล่นนะ แถมมีเลิฟซีนกับผู้ชายด้วย แต่เขาก็เล่นได้อย่างมืออาชีพมาก ฉันว่าดาราคนนี้อนาคตไกลทีเดียว

สุกท้ายก็ไปได้ไกลแค่เท่านี้จริงๆ

ฮีท เลดเจอร์ถูกพบว่าเสียชีวิตในอพาตเมนต์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะอายุได้ 28 ปี

การตายของเขาช็อคฉันมาก ตกใจยิ่งกว่าตอนได้ยินว่านางเบเนเซียร์ บุตโตตายซะอีก

ไปซะแล้ว ดาราโปรดของฉันอีกคน

นี่ถ้าพี่ Hugh เป็นอะไรไป ฉันคงเซ็งชีวิตมากกว่าเดิม คงไม่เหลือใครให้ชอบซะแล้วล่ะ

Rest in Peace ...

Sunday, January 20, 2008

ฉันกับงานแต่งงาน (ของคนอื่น)

ถ่ายตอนที่แขกยังไม่มา ชอบสีดอกไม้มากๆ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็ถึงวันแต่งงานของเพื่อนที่ทำงานฉันเอง งานนี้ฉันอาสาทำ MV ประกอบงานให้ ฉันไม่เคยทำมิวสิควีดีโอมาก่อน แต่ว่าอารมณ์อยากลองน่ะ ระหว่างที่ทำอยู่จู่ๆอุปสรรคที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ซึ่งเกือบทำให้โปรเจ็คนี้ล่มไปแล้ว ก็ตอนที่คอมฉันเจ๊งไงล่ะ โชคดีที่สามารถกู้ข้อมูลกลับมาได้ ทำให้โปรเจ็คได้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งและให้โอกาสฉันทำต่อจนเสร็จ เหมือนตายแล้วฟื้นยังไงอย่างงั้นเลย

งานนี้นอกจากฉันจะทำ MV ให้แล้ว ฉันก็ยังรับอาสาช่วยงานจิปาถะอื่นๆเท่าที่จะทำได้

ในวันงานฉันได้รับการไหว้วานให้ดูแลความเรียบร้อยของอุปกรณ์เครื่องเสียงและโปรเจ็คเตอร์ ทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงตอนที่ทำงานบายเนียร์ตอนปีสามอะไรอย่างนั้น

ฉันมาถึงประมาณเร็วกว่าคนอื่นๆเขา ฉันถึงที่โรงแรมเวลา 4.45 ตอนนั้นมีแต่ญาติๆของเขาที่มาถึง ฉันจัดแจงคุยกับเจ้าหน้าที่โรงแรมเรื่องไฟ และคิวงาน เจ้าหน้าที่ดูเป็นการเป็นงานดีอยู่แล้ว ฉันเลยไม่ค่อยห่วงเท่าไร พอหกโมงเพื่อนๆก็เริ่มทยอยมา ฉันก็มัวแต่ถ่ายรูปกับหาอะไรรองท้อง เพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง พอใกล้พิธีเริ่มฉันก็ไปแสตนด์บายใกล้กับเวที

เพื่อนฉันที่เป็นเจ้าสาวดูจะกังวลกับพิธีการมาก ฉันเองแม้ไม่ใช่คนแต่งยังกังวลเหมือนกัน แอบคิดว่าไม่รู้งานจะราบรื่นรึเปล่า จะหลุดคิวมั้ย จะมีอะไรเจ๊งกลางทางรึเปล่า สุดท้ายฉันก็เลยปลงว่าอะไรจะเกิดก็คงต้องเกิดนะ มีอะไรเราก็แก้ไขไปเฉพาะหน้าละกัน

โชคดีที่ทุกอย่างราบรื่นดี แฮปปี้กันดีทุกฝ่าย ฉันเลยโล่งใจ

ว่าแต่มิวสิควีดีโอของฉันถูกฉายเป็นอันสุดท้าย ฉันแอบคิดว่าคนดูจะชอบมันรึเปล่านะ ที่จริงฉันดูมันเป็นร้อยรอบแล้ว จำทุกช็อตได้ขึ้นใจ แต่รอบนี้ดูจะเป็นรอบที่ฉันตื่นเต้นที่สุด

อืม ได้ยินเสียงฮือๆเป็นระยะๆ บางทีก็มีเสียงหัวเราะ พร้อมกับบอกว่า "แหม ทำไปได้..."

พอฉายจบ ฉันก็โล่งใจ รู้สึกว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองสมบูรณ์แล้ว

พอจบงานฉันออกไปหาเพื่อนๆอีกครั้ง พอได้ยินว่าทุกคนชอบ ฉันก็ดีใจ

นี่แหละ เขาถึงว่ากันว่าคำชมทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง จริงแฮะ