Monday, December 31, 2007

Welcome Year 2008

ไม่แน่ใจว่าอยู่ที่ไหน แต่ก็สวยดี

ปีนี้ฉันนั่งนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่อย่างปกติที่บ้านที่กรุงเทพ

ย้อนกลับไปสามปีติดกัน ฉันไม่ได้อยู่ที่บ้านฉลองปีใหม่ซักปีเลย ปีที่แล้วฉันไปปฎิบัติธรรมที่ชลบุรี สองปีที่แล้วฉันอยู่กับเพื่อนที่เชียงใหม่ สามปีที่แล้วฉันอยู่ที่เมืองคาสเซิล เยอรมนี นั่งติดตามข่าวสึนามิอย่างตื่นเต้น

ที่จริงฉันไม่ได้เป็นคนประเภทตื่นเต้นกับเทศกาลอะไรเท่าไร สำหรับฉันมันก็แค่อีกหนึ่งวันผ่านไปเท่านั้น บางคนใช้ปีใหม่เป็นเครื่องกระตุ้นที่จะเริ่มต้นทำอะไรซักอย่าง สำหรับฉันแล้ว ถ้าอยากจะเริ่มทำอะไร ไม่ต้องรอให้ถึงปีใหม่หรอก อยากเริ่มก็เริ่มเลย เดี๋ยวไม่ทันการ

ฉันยอบรับว่าปีนี้ในความรู้สึกของฉันผ่านไปค่อนข้างเร็วนะเนี่ย ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี บางครั้งฉันแทบจำไม่ได้ว่ามีอะไรผ่านไปบ้างในแต่ละเดือน รู้สึกเดี๋ยวนี้จะเป็นคนไม่ค่อยอยากจำอะไรเท่าไร ยังดีที่ยังพอหาอ่านจากบล็อกที่ตัวเองเคยเขียนไว้
ฉันว่าหลักๆคือปีนี้ฉันค่อนข้างจะเหนื่อยเรื่องงานเอามากทีเดียว ยังดีที่ไม่มีเรื่องอื่นมากรบกวนจิตใจอีก ฉันว่าคงเป็นเพราะยังรู้สึกว่าตัวเราเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลย ขืนเอาเรื่องคนอื่นมาคิดให้รกสมองยิ่งจะทำให้แย่ลงอีก ปัญหาที่ผ่านมาฉันดีใจนะที่ตัวเองสามารถตัดใจได้ทันที รวมทั้งมองอะไรอย่างระมัดระวังมากขึ้น
เรื่องที่ทำฉันลืมไม่ลงในปีนี้คงเป็นเรื่องที่ได้รู้จักกับน้องคนนึง เป็นเรื่องที่บังเอิญสุดๆ ที่จริงมันอาจมีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เราได้เจอกัน เพียงแต่เป็นเหตุผลที่ฉันหาคำอธิบายไม่ได้ก็เท่านั้น ฉันรู้แต่ว่าการได้เจอกันเป็นผลดีสำหรับฉัน เพราะทำให้ฉันสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างเด็ดขาด
การได้มีโอกาสไปทำบุญในหลายๆที่ หลายๆโอกาส เช่น วัดป่าอัมพวัน วัดพระบาทน้ำพุ บ้านพักคนชรา รวมถึงโครงการที่สังขละบุรี ถือเป็นเรื่องดีในปีนี้ รวมถึงการไปบริจาคเลือดสามครั้งในปีนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีในปีนี้
ชีวิตช่วงครึ่งปีหลังหมดไปกับการหมกมุ่นเรื่องเอเอฟ ตอนแรกฉันไม่คิดที่จะดูเลยนะ เพราะไม่ประทับใจตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว แต่นี่เพราะน้องแจ๊คคนเดียวเลยนะเนี่ย ทำให้ฉันถ่อไปดูคอนเสิร์ทถึงเมืองทองธานีสองอาทิตย์ติด รวมถึงคอนเสิร์ทสุดท้ายที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก ลามไปถึงมินิคอนเสิร์ทอีกสองครั้ง แต่ฉันสังเกตได้ว่าความรู้สึกของฉันมันเริ่มซาๆแล้วล่ะ เห็นได้จากมินิคอนเสิร์ทล่าสุดที่ไปดูฉันไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร เทียบกับตอนแรกๆที่สนใจ ตอนนั้นติดตามข่าวตลอดเวลา นั่งโหลดคลิปสารพัด เซฟรูปเพียบ ตอนนี้เฉยๆแล้ว จิตใจนเรานี่มันเปลี่ยนง่ายจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนแบบฉัน
ที่จริงฉันว่าการสนใจเอเอฟมันก็มีข้อดีอย่างนึงนะ คือมันทำให้ฉันหายเครียด และก็ได้มีเรื่องคุยกับน้องๆที่ทำงานมากขึ้น รวมถึงการไปดูคอนเสิร์ทร่วมกัน นานๆทีที่จะมีโอกาสได้ทำอะไรบ้าๆแบบนี้นะ
ช่วงใกล้สิ้นปีเป็นช่วงเหนื่อยที่สุด ไม่อยากจะนึกย้อนกลับไปจริงๆ ถ้าลองกลับไปอ่านข้อเขียนช่วงนั้นคงจะเข้าใจความรู้สึกได้ดีกว่า
ปีใหม่ที่จะถึงนี้ ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นที่ฉันจะอายุ 29 แล้ว มีเลขสองนำหน้าเป็นปีสุดท้าย(แล้วไงล่ะ) ทำงานจะครบสามปี บ้านใหม่ก็คงเสร็จสักกลางๆปี หวังเช่นนั้นนะ อยากเข้าไปอยู่เต็มแก่แล้ว
ปีหน้าฉันมีแพลนที่จะไปเที่ยวต่างประเทศสักที่ แต่ยังไม่แน่นอน คิดว่าคงเป็นประเทศในยุโรปซักที่ ฉันหวังว่าปีหน้าฉันคงเหนื่อยน้อยลง และก็มีโอกาสที่ดีเข้ามาในชีวิตบ้าง โอกาสที่ทำให้ฉันได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้รู้สักทีว่าที่จริงแล้วเราอยากทำอะไรกันแน่

Friday, December 28, 2007

ลาทีปีเก่า

เป็นภาพจากเกมส์ สวยดี

วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของปีแล้ว แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่คนเดียวในแผนก แต่ก็ไม่ได้เหงาอะไรเท่าไรนะ ฉันกลับรู้สึกว่ามีสมาธิดีซะอีก

อีกหนึ่งปีกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ปีที่ผ่านมานี้ถือเป็นปีที่หนักทีเดียวสำหรับฉัน ลำพังแค่เรื่องงานก็ทำเอาฉันท้อไปหลายรอบเหมือนกัน

แต่เมื่อไรที่ฉันท้อ ฉันพยายามนึกถึงคำพูดของหมอพีร์ที่เตือนให้ฉันอดทนและก็ทำใจกับมัน เพราะ ปีนี้ดวงฉันไม่ค่อยดีเท่าไร

สิ่งที่หมอพีร์เขียนในหนังสือธรรมะออนไลน์ฉบับล่าสุดนี่โดนใจฉันมาก เขาพูดถึงคนที่ขาดความอดทน โลเล ว่าที่จริงเป็นคนที่กลัวความผิดหวัง กลัวผิดพลาด ซึ่งมันคือตัวฉันเองจริงๆ
วิธีที่จะแก้ไขนิสัยเหล่านี้คือต้องหัดเป็นคนแน่วแน่ อย่าโลเล เริ่มจากเรื่องใกล้ๆตัวเช่นว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไร จะไปไหน อย่าไปกลัวความผิดพลาด เพราะสิ่งเหล่านั้นจะสอนให้เราเก่งขึ้น
หัดทำใจให้อภัย ไม่คิดร้าย แล้วเราก็จะสามารถอยู่เหนือดวงได้

ไม่รู้ว่าปีที่ผ่านมาฉันเริ่มๆทำได้บ้างรึยังนะ รู้แต่ว่าฉันพยายามค่อยๆเปลี่ยน บางทีก็ยังมีหลุดๆบ้าง แต่คิดว่าก็ยังไดีกว่าปล่อยนิสัยมันไปตามยถากรรมนะ

ปีหน้าฉันก็คงตั้งหน้าตั้งตาปรับปรุงตัวเองต่อไปอีก ฉันหวังที่จะเห็นตัวเองสามารถเอาชนะกรรมเก่า และสามารถเป็นผู้ที่อยู่เหนือดวงได้

สวัสดีปี 2551

Thursday, December 27, 2007

บริจากเลือดครั้งที่สาม



คราวนี้ฉันไปบริจาคช้ากว่าที่กำหนดไว้ประมาณเดือนกว่าๆเนื่องด้วยเดือนที่แล้วฉันยุ่งเหลือเกิน นอนก็น้อย พอมาช่วงนี้ได้พักผ่อนเต็มที่ ฉันเลยชวนเจ้าแป้งไปบริจาคที่เดิม สภากาชาด ฉันว่าบริจาคช่วงนี้ก็เหมาะดีนะเพราะช่วงปีใหม่โรงพยาบาลมักจะต้องการเลือดกันมาก


คราวนี้ฉันเตรียมตัวไปดีกว่าคราวก่อน ถ้ายังจำได้ คราวที่แล้วเลือดฉันหนืดมากเพราะไปบริจาคตอนเช้า ฉันดื่มน้ำไปไม่พอ คราวนี้ฉันดื่มน้ำตุนไว้เยอะเลย แถมกินข้าวเช้าเต็มที่ เลือดเลยไหลสะดวกดี


คราวนี้มีพิเศษเพิ่มขึ้นมาคือว่าฉันไปลงทะเบียนเป็นผู้บริจาก Stemcell ด้วย เขามีเจาะเลือดเพิ่มอีกสองหลอดเพื่อเอาข้อมูลของฉันเก็บไว้ที่ database เผื่อว่าถ้ามีผู้ป่วยที่เลือดแมชท์กับฉันพอดีก็จะสามารถรับstemcell ของฉันได้ เขาบอกว่าโอกาสมีแค่ 1 ใน 50000 เท่านั้น


ถ้าฉันได้มีโอกาสเป็นผู้บริจาคก็ถือเป็นเรื่องที่วิเศษมากๆในชีวิตทีเดียว

Monday, December 17, 2007

ก่อนจะถึงสิ้นปี



Adventskalender Gengenbach


นับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็จะผ่านพ้นปี2550ไปแล้ว ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ว่า ปีๆนึงเนี่ย มันผ่านไปเร็วจริงๆ

ช่วงสองเดือนอันสาหัสของฉันผ่านพ้นไปได้อย่างหืดขึ้นคอเลยทีเดียว ฉันไม่เคยรู้สึกเหนื่อยและเครียดกับงานขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าการเตรียมตัวเตรียมใจของฉันมันยังไม่ดีพอ หลายๆเรื่องที่ทำให้ฉันถึงกับหมดแรง และท้อ เหมือนว่ายิ่งเราตั้งใจมากเท่าไร ความผิดพลาดยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น มันดูไม่สมเหตุสมผลกันเลย

ฉันมองตัวเองจากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น อืม ฉันเองคงเตรียมตัวยังไม่ดีพอจริงๆนั่นแหละ ฉันคงต้องใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่ในอาทิตย์สุดท้ายของปีนี้ ทบทวนหาสาเหตุแล้วก็ลองคิดหาวิธีที่จะทำให้มันดีขึ้น

ขอพักเรื่องงานไว้เท่านี้ก่อน

ช่วงเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองและปาร์ตี้สังสรรค์ ทั้งของที่ทำงานและก็อื่นๆ

เมื่อวานนี้ฉันไปงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนสมัยประถม-มัธยม ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้อยากไปเท่าไร เพียงแต่ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอที่จะปฎิเสธก็เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่คนที่มาจะอยู่ห้องอื่นๆที่ไม่ใช่ห้องฉัน เพื่อนร่วมห้องฉันเองมากันน้อยนะ ส่วนใหญ่ฉันจะจำหน้าเพื่อนๆได้ แต่ชื่อนี่นึกไม่ออก ส่วนเพื่อนที่จำฉันได้นี่น้อยเหลือเกิน ก็ตอนเด็กๆฉันออกเป็นคนเงียบๆ เหมือนเป็นมนุษย์ล่องหนในห้อง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย ใครจำได้นี่ก็แปลกแล้วล่ะ เพื่อนหลายๆคนเปลี่ยนไปมาก มีทั้งอ้วนขึ้น ผอมลง สวยขึ้น แต่อีกหลายคนก็ยังเหมือนเดิม บางคนเป็นคุณแม่ลูกสองแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นส่วนน้อยสำหรับคนที่แต่งงานแล้ว

ในงานมีการฉายสไลด์สัมภาษณ์คุณครูหลายๆท่าน ซึ่งครูหลายๆคนเหมือนเดิมมากๆ ครูแอนยังเท่ห์เหมือนเดิมแถมไม่แก่ลงสักนิด

ไม่น่าเชื่อว่าฉันจบออกไปจากโรงเรียน10ปีแล้วนะเนี่ย

แต่ถ้าให้เปรียบเทียบความทรงจำวัยเด็ก สมัยมัธยม สมัยมหาลัย กับสมัยเรียนโท ฉันว่าฉันชอบสมัยเรียนโทมากที่สุดนะ เพราะตอนนั้นฉันรู้ว่าฉันอยากทำอะไร และฉันก็มีอิสระเต็มที่ๆจะทำมัน ฉันว่าฉันมีการพัฒนาทางด้านจิตใจมากที่สุดในตอนนั้น สามารถเอาชนะความกลัวที่มีอยู่มาตั้งแต่เด็กออกไปได้

นี่ถ้าฉันสามารถย้อนเวลากับไปได้ ฉันอยากจะมีนิสัยอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก จะได้ทำอีกไหลายๆสิ่งที่ไม่กล้าทำในตอนนั้น
แต่ตอนนี้คิดไปก็ป่วยการเปล่า ดังนั้นฉันว่าเรามาตั้งเป้าหมายในอนาคตดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจกับอดีต ไว้จะลองคิดดูว่าปีหน้ามีอะไรอีกที่อยากทำ ที่แน่ๆอย่างนึงคือคงได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลๆซักที่นะ

Sunday, November 25, 2007

วิกฤติชีวิต

Cinque Terre, Italy หมู่บ้านประมงเล็กๆในอิตาลี เคยไปมาเมื่อสามปีก่อน สวยมากๆ



ช่วงเดือนที่ผ่านมายอมรับเลยว่าเป็นช่วงยากลำบากของชีวิตเลยทีเดียว เพราะรู้สึกมีเรื่องอะไรเข้ามาเยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งก็ล้วนเป็นแต่เรื่องที่ทำให้ท้อแท้หดหู่ใจพอสมควร ตัวอย่างก็เช่นคอมพิวเตอร์ที่ใช้มาได้สองปีกว่าๆก็เกิดพังลงอย่างไม่คาดฝัน ไม่มีปี่มีขลุ่ย มันทำให้ฉันจิตตกไปเลยเพราะว่าโปรเจ็คสำคัญที่กำลังทำอยู่ทั้งหมดอยู่ในนั้น แล้วที่สำคัญคือฉันก็ไม่เคย back up ข้อมูลอะไรไว้เลย หลังจากเอาคอมไปซ่อม เสียเงินเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ใหม่ ฉันยังต้องเอาฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าไปกู้ข้อมูลคืน ซึ่งก็โชคดีที่ว่าเพื่อนเจ้าของโปรเจ็คมีคุณอาซึ่งเก่งคอมพิวเตอร์ ทำให้ช่วยกู้วิกฤตชีวิตได้ไปหนึ่งเรื่อง

เรื่องต่อมาคืองานที่แสนจะหนักหนาเพราะเป็นเดือนที่ฉันต้องทำโบนัสจ่ายพนักงานกว่าสองพันคน ทำถูกบ้างผิดบ้าง เวลาก็น้อยเหลือเกิน ทำฉันเครียดไปเลย ฉันคิดว่าเรื่องงานเนี่ยคงจะยุ่งไปจนถึงเดือนหน้าเลยล่ะ กว่าจะดีขึ้น

นอกนั้นก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เข้ามากระทบ พอมันเข้ามาบ่อยๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ไปได้เหมือนกัน นี่ขนาดคิดว่าตัวเราเองก็ผ่านอะไรมาพอสมควร คิดว่าเข้มแข็งกว่าแต่ก่อนนะ แต่ก็ยังไม่วายเสียสูญไปเหมือนกัน

อย่างว่าแหละ มันเป็นธรรมดาของชีวิตจริงๆ ที่มีขึ้นมีลง เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ สลับไปเรื่อยๆ

เวลาทุกข์ ฉันก็ไม่วายคิดย้อนไปถึงตอนสมัยอยู่เยอรมนี ทำไมตอนนั้นก็เรียนหนักนะ มีปัญหาเข้ามาบ้าง แต่ไม่เคยรู้สึกอะไรแย่แบบนี้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่าอยู่กับตัวเองได้ดี แทบไม่เคยมีความรู้สึกเบื่อหรือหดหู่กับชีวิต ช่างต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ฉันอยากมีความรู้สึกแบบช่วงนั้นอีกนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน

การนึกถึงช่วงเวลาที่เรามีความสุข ทำให้อย่างน้อยเราก็ลืมความทุกข์ในปัจจุบันไปได้บ้าง ช่วงเวลาตอนนั้น ฉันเองอยากจะเก็บความรู้สึกอย่างนั้นไว้นานๆ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้หรอก อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป อดีตก็คืออดีต

เอาเถอะ ยังไงฉันก็เชื่อว่าปัญหาและอุปสรรคทำให้คนเราแข็งแกร่งขึ้น และที่สำคัญคือคนเรามันคงไม่ดวงตกตลอดไปหรอก จริงมั้ย

Friday, November 9, 2007

ฝันกลางฤดูหนาว กับสถานที่ๆอยากไปเห็นก่อนตาย

Chichen Itza (Mexico)

Easter Island (Chile)

Machu Picchu (Peru)

ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้ว แอบดีใจนะ เพราะฉันชอบอากาศประมาณนี้ อยากให้เมืองไทยอากาศแบบนี้ตลอดไปจัง
ใกล้สิ้นปีแล้ว ฉันก็เริ่มเพ้อฝันถึงโปรแกรมเที่ยวในปีหน้า ฉันมีที่ๆอยากไปเยอะมากๆ แต่ที่อยากไปสุดๆคงเป็นสถานที่ 3 แห่งที่เห็นในรูปในทวีป Central & South America
ฉันเห็นรูปและเรื่องราวของทั้งสามที่ในหนังสือเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของโลกที่ซื้อจากงานสัปดาห์หนังสือ พอได้เห็นได้อ่านปั๊ปก็รู้สึกเลยว่า นี่แหละ คือที่ๆอยากไปเห็นก่อนตาย
ที่อยากไปเห็นเพราะสถานที่เหล่านี้มันมีเรื่องราว มีตำนาน มีความลี้ลับ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
แต่ถ้าจะไปจริงๆคงต้องรอให้ฉันออกจากงานก่อน เพราะแค่นั่งเครื่องบินไปก็ 1 วันเต็มๆแล้ว ถ้าไปแค่ 1 อาทิตย์คงไม่คุ้มเท่าไร
ตอนนี้เลยขอแค่ฝันไปก่อนละกัน

Wednesday, November 7, 2007

หนึ่งวันกับภารกิจปกป้องโลกร้อน

เพิ่งจะรู้ว่าดินเลนนี่น่ากลัวมากๆ แรงดึงดูดมหาศาล

ช่วงก่อนฉันไม่ค่อยได้เข้าไปเช็คเมลที่ hotmail เท่าไร เพราะว่าตอนนี้ hotmail ของฉันเป็นที่เก็บของ spam และ forword เมลมากกว่าเมลที่เขียนหาฉันจริงๆ

ปรากฏว่าเพื่อนๆมีการคุยถึงการจัดทริปไปปลูกป่าที่สมุทรสงครามกัน กว่าฉันจะรู้เรื่องก็ปาไปกว่าหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง ยังดีที่มีเพื่อนคบอยู่ เลยโทรมาบอกข่าวนี้

ฉันแปลกใจนิดหน่อยในตอนแรกที่ได้ยิน อืม ฟังดูเหมือนกิจกรรมเก็บตัวผู้เข้าประกวดนางงามเลยนะเนี่ย ฉันไม่เคยไปปลูกป่าชายเลนมาก่อน เคยแต่ไปปลูกต้นไม้บนเขาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แต่ก็คิดว่าคงจะคล้ายๆกันนะแหละ ที่สำคัญได้ไปเจอเพื่อนๆเก่าๆ น่าสนุกดีใช่มั้ยล่ะ

ตอนเช้านัดเจอกันที่สวนลุมตอนหกโมงเช้า (ช่างทรมานสิ้นดี) ฉันหวิดเกือบขึ้นรถผิดคันไปอรัญประเทศแล้วนะเนี่ย ดีที่พ่อบอกให้ถามคนขับก่อน อ้าว ก็เห็นมันจอดอยู่นิ เลยคิดว่าใช่

การไปปลูกป่าจะต้องลงเรือเล็กไปยังบริเวณที่จัดให้ ซึ่งตอนเช้านี้น้ำยังไม่ขึ้น สามารถลงไปปลูกได้

เจ้าหน้าที่บอกว่าจะมีชาวบ้านเข็นไม้กระดานให้เราไปยังต้นไม้ที่จะปลูก เราก็แค่คุ้ยๆเอาดินกลบรากของต้นไม้ แล้วก็ผูกเชือก เป็นอันเสร็จ สำหรับคนที่อยากลงไปลุยดินเลนก็สามารถทำได้

ฉันละก็คึก เลยลงไปลุยเอง หารู้ไม่ว่าดินเลนมันดูด ทำให้เดินยากมาก หลังๆฉันกับเพื่อนๆถึงกับต้องลงคลานเลยทีเดียว เพราะมันเร็วกว่าใช้สองขาเดิน ฉันว่าท่าพวกเราเหมือนบริทนี่เสปียร์ในMVเพลง Toxic แต่ซังบอกว่าเหมือนซาดาโกะในเรื่องเดอะริงค์มากกว่า

สรุปแล้วคือ ฉันปลูกไปได้ 3 ต้น หลังจากนั้นก็ถอดใจ เพราะหมดแรง คลานกลับมาที่เรือ แอบคิดว่าตูไม่น่าบ้าพลังเดินลุยดินเลนตั้งแต่แรกเลย แรงเลยหมดตั้งแต่ตอนนั้น

หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า พวกเราก็แวะไปที่ตลาดอัมพวากัน ไปหาข้าวกลางวันทาน และก็นั่งเม้าท์ไปเรื่อยที่ร้านกาแฟ ช่างเป็นวันที่มีความสุขซะจริง

พอกลับถึงบ้านฉันก็สลบไปตามระเบียบ ถูกดินเลนดูดพลังไปหมด

Thursday, October 11, 2007

วังวนของปุถุชน

โอ ท่านเทพ Kitty ช่วยลูกด้วย ...

เมื่อวันก่อนจู่ๆฉันก็นึกตำหนิตัวเองขึ้นมาอย่างแรง

สาเหตุน่ะเหรอ ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเเองห่างเหินจากธรรมะไปมาก สติหลุดหายไปกู่ไม่กลับ ไอ้นิสัยไม่ดีเก่าๆมันเริ่มกลับมาอีกแล้ว พอรู้ตัวอีกทีเลยรู้สึกตกใจว่านี่เราหลุดขนาดนี้เลยหรือ

มิน่าคนถึงพูดกันว่านิสัย สันดานเนี่ยมันเปลี่ยนยากจริงๆ ต้องใช้ความตั้งมั่นอย่างมากถึงจะจะเปลี่ยนมันได้

ตั้งแต่ต้นปีมานี้ฉันตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่ดีหลายๆอย่างในตัว อันได้แก่เรื่องต่อไปนี้

- ฉันเป็นคนอีโก้สูง เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่ยอมรับความคิดคนอื่น ทนเสียงวิจารณ์ไม่ค่อยได้ หัวแข็งอีกต่างหาก
- เพอเฟคชั่นนิส ชอบตำหนิคนอื่น
- เกลียดการถูกเอาเปรียบที่สุด บางครั้งก็ให้อภัยคนยาก
- ไม่ยืดหยุ่น ถ้าวางแผนทำอะไรแล้วไม่เป็นไปตามนั้นจะหงุดหงิดมาก
- ใจร้อน อยากได้อะไรต้องเดี๋ยวนั้น ต้องรู้ดี๋ยวนั้น
- คิดมาก โลเล ขี้เกียจ
- ฟุ้งซ่าน กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ชอบคิดไปเองก่อน พอไม่เป็นอย่างที่คิดก็จะเสียใจ ผิดหวัง เศร้า
- แคร์คนอื่นมากเกินไป ขี้น้อยใจ บางครั้งก็ขี้เกรงใจจนไม่กล้าพูดความจริง


ฉันว่าวิธีการแก้นิสัยที่กล่าวมาทั้งหมด อยู่ที่การปล่อยวาง อย่ายึดติดว่าเป็นตัวเราของเรา

ถ้าฉันสามารถระลึกได้ตลอด ว่าไอ้ตัวเราและสิ่งรอบๆตัวเราเนี่ย มันเป็นสิ่งสมมติขึ้นทั้งนั้น ฉันก็จะคลายความยึดติดต่อสิ่งต่างๆไปได้ และฉันก็จะสามารถขจัดนิสัยที่ไม่ดีที่ทำให้ฉันเป็นทุกข์เหล่านี้ออกไปได้

ส่วนเรื่องสติเนี่ย ฉันคงต้องฝึกจากการนั่นสมาธิ แต่พอคิดจะเริ่มทีไรก็ขี้เกียจขึ้นมาซะงั้น มักจะหาข้ออ้างร้อยแปดที่จะไม่ทำมัน

เพราะเหตุนี้ ฉันจึงรู้สึกสมเพชตัวเองว่า เรานี่มันก็แค่ปุถุชนคนธรรมดาคนนึง ที่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย เอาแน่เอานอนไม่ได้

ที่ฉันอยากเปลี่ยนนิสัย คงเป็นเพราะหลังจากไปพบหมอพีร์เมื่อเกือบ 1 ปีมาแล้ว เขาบอกฉันว่าถ้าฉันสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ ฉันก็จะสามารถทำชีวิตให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้

ฉันอยากจะลองพิสูจน์นะว่าถ้าฉันเปลี่ยนตัวเองได้จริง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

นี่ยังไม่ทันจะครบปี ทำท่าจะกลับไปเป็นแบบเก่าอีกแล้ว นี่ฉันคงต้องเรียกสติกลับมาอีกรอบ เรียกความตั้งใจเดิมกลับมาอีกที

เอาวะ เริ่มต้นใหม่อีกที สิบปียังไม่สาย

Tuesday, October 2, 2007

Cochem รำลึก



ไม่รู้ทำไมจู่ๆฉันก็คิดถึงเมืองCochem ขึ้นมา อาจเป็นเพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันคุยเล่นกับพ่อเรื่องเที่ยว คุยไปคุยมาก็โยงถึงถึงเหตุการณ์ตอนไปเที่ยวทริปนี้

เมื่อเช้านี้ฉันเพิ่งจะมาระลึกได้ว่านี่มันครบรอบสองปีพอดีเลยนะเนี่ย ตอนนั้นฉันเดินทางช่วงวันที่1-3 ตค.พอดี

ไม่รู้สิ ในบรรดาการเดินทางทั้งหลายของฉัน ทริปนี้เป็นทริปที่ฝังใจจริงๆ เพราะมันเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่ทำให้ฉันประทับใจไม่รู้ลืม

ย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน ช่วงระหว่างที่ฉันไปเรียนงานที่ Hamburg เมื่อไรที่ว่าง ฉันทุ่มโหมหนักกับเรื่องเที่ยวมาก สรรหาที่ไปได้ทุกอาทิตย์เลยทีเดียว อาจเป็นเพราะสมัยตอนที่ยังเป็นนักเรียน ยังไม่มีรายได้นั้น ฉันไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าที่ควร นี่อุตส่าห์ได้กลับไปอีกรอบ ฉันจึงควรตักตวงโอกาสนี้อย่างเต็มที่


เมืองCochemเป็นเมืองที่ฉันเจอโดยบังเอิญในเวปไซด์ท่องเที่ยวล่องแม่น้ำไรน์ ฉันเห็นรูปแล้วก็อยากไปในทันทีเพราะสวยมากๆ ด้วยความที่คิดว่ามันเป็นเมืองเล็กๆ คงไม่ค่อยมีคนรู้จัก ฉันจึงไม่ได้จองที่พักล่วงหน้าไว้

ปรากฎว่าพอไปถึงCochem ตอนเกือบเย็นๆ ฉันค้นพบว่ามันเป็นเมืองท่องเที่ยวอันมีชื่อเสียงมาก (ที่ฉันไม่รู้จัก) นักท่องเที่ยวประมาณล้านแปด ทำให้ที่พักเต็มหมด ฉันกับเจ้าแป้ง น้องผู้ร่วมทางก็พยายามโทรถาม Youth Hostel ใกล้เคียงเพื่อหาที่ซุกหัวนอนในคืนแรก ปรากฏว่าแถวข้างเคียงก็เต็มหมด ตอนนั้นรู้สึกโทษตัวเองมากว่าทำไมไม่จองที่พักก่อนวะเนี่ย ว่าไปแล้ว ฉันลืมนึกไปว่ามันเป็นวันหยุดยาวด้วย เลยนิ่งนอนใจคิดว่าที่พักคงหาได้ง่ายๆ

ขณะที่ความหวังเริ่มริบหรี่ลงทุกทีๆ โทรไปที่ไหนก็เต็มหมด ที่สุดท้ายที่โทรไปคือ Youth Hostel ที่ Koblenz ปรากฏว่า มีที่พักว่าง !!!

ฉันและแป้งรีบปรี่ขึ้นรถไฟเพื่อย้อนกลับไปKoblenzทันที ตอนนั้นเริ่มมืดแล้ว ฉันอยากไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด อารมณ์ตอนนั้นมันเหนื่อยเหลือเกิน อยากกระโดดขึ้นเตียงเต็มทีแล้ว


แป้งโทรถามทางกับพนักงานซึ่งเขาก็บอกว่าจากป้ายรถเมล์เดินไปแค่30นาทีก็ถึง พอลงรถเมล์ฉันกับแป้งก็เริ่มเดินไปตามทางที่ดูเหมือนจะขึ้นเขาเรื่อยๆ ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มแล้วล่ะ ถนนค่อนข้างมืดและเงียบ จำได้ว่าเดินผ่านสุสานอีกต่างหาก(ไม่เข้าใจว่าสุสานโผล่มาตอนนั้นทำไมวะ จะมาbuildบรรยากาศกันไปถึงไหน) เดินกันไปประมาณ15นาทีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นที่พักเลย ทางก็ชันขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มถอดใจนิดหน่อย คิดว่าถ้าไม่ไหวจริงๆเราคงจะเดินกลับมาพักโรงแรมเล็กๆแถวนี้ดีกว่า

ขณะที่เดินอย่างไม่แน่ใจในจุดหมายปลายทาง จู่ๆฉันก็ได้ยินเสียงรถคันนึงขับมาจากข้างหลัง มันผ่านพวกเราไป แต่แล้วก็ชะลอหยุดและจอดเบื้องหน้าพวกเรา มันเป็นรถตู้โฟล์คเก่าๆสีขาว ฉันเริ่มระมัดระวังตัว เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แถวนั้นไมมีใครผ่านไปมาเลย มีแต่ฉันกับแป้งเท่านั้น

พอเราเดินไปใกล้รถคันนั้น ฉันเห็นคนขับไขกระจกลงมา เป็นคุณลุงแก่ๆคนนึง เขาถามพวกฉันว่าจะไป Youth Hostel กันเหรอ ฉันตอบว่าใช่ เขาเลยพูดว่ามันไปอีกไกลมาก ขึ้นรถเขาเถอะ เขาจะไปส่งให้


ณ ตอนนั้นฉันแทบไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ในเมื่อไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกนานเท่าไร ฉันขอยอมเสี่ยงตายกับคุณลุงนี่แหละ เจ้าแป้งก็คิดตรงกันกับฉันอย่างไม่ได้นัดหมาย เราสองคนขึ้นรถตู้ของคุณลุงแทบจะในทันที


ปรากฏว่าคุณลุงขับขึ้นไปเรื่อยๆเป็นทางที่ชัน ไกล และวกวนมากๆ ฉันกับแป้งอึ้งเงียบไปเลย นี่มันใช้เวลาเดินมากกว่า 30 นาทีแน่นอน ฉันว่ามันอาจกินเวลาหลายชั่วโมงทีเดียว

หลังจากขับวนไปวนมาซักพัก คุณลุงก็จอดรถ ฉันมองออกไป เบื้องหน้าฉันคือหน้าประตู Youth Hostel Koblenz ซึ่งเดิมเคยเป็นปราสาทสมัยโบราณ ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงเป็นที่พัก ฉันอยากร้องออกมาดังๆว่าในที่สุด ตูก็มาถึงจนได้


ฉันแทบลงกราบคุณลุงด้วยความตื้นตัน ถ้าไม่ได้คุณลุงคนนี้ ฉันคิดไม่ออกจริงๆว่าเราจะมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร

พอคุณลุงจากไป เจ้าแป้งบอกฉันว่าคุณลุงจะต้องเป็นเทวดาประจำตัวของพวกเราแปลงกายมาช่วยแน่เลย


ฉันแอบเชื่อนิดหน่อยนะเนี่ย เพราะคุณลุงช่างโผล่ออกมาได้เวลาเหมาะพอดี

พอตอนเช้าเราทั้งสองเดินลงจากปราสาทแห่งนี้ เราค้นพบว่าจากป้ายรถเมล์ เราเลือกเดินกันผิดทาง ซึ่งมันเป็นทางที่อ้อมโลกมากๆ ถ้าเราเดินไปอีกทางหนึ่ง เราจะสามารถเลาะกำแพงปราสาทและถึงที่หมายได้ง่ายกว่ามาก (แต่ยังไงฉันว่ามันก็ยังใช้เวลามากกว่า 30 นาทีนั่นแหละ)

โชคดีที่คืนต่อมาเราสามารถหาที่พักที่ Cochemได้ ฉันเลยลาจาก Koblenz ด้วยความรู้สึกที่ประหลาดใจปนๆกับความประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้


เหตุนี้เองCochem จึงกลายเป็นทริปที่ลืมไม่ลงจริงๆ

Monday, October 1, 2007

ชีวิตหลังเอเอฟ 4



ไม่รู้ว่า Blog เริ่มจะเน่าหรือยัง เพราะไม่ได้อัพมานานพอสมควร

ชีวิตหลังจบเอเอฟสี่ที่คาดว่าจะกลับมาสงบสุขเหมือนเดิมก็ยังไม่ซะทีเดียว ฉันยังคงข่าวคราวของน้องอยู่เป็นระยะๆตามเวปบอร์ดพันทิพ และJMCบอร์ด ได้เห็นตารางงานแน่นเอี๊ยดของน้อง รวมทั้งอัลบัมหมู่ X-treme Army หรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่าขบวนการมนุษย์ไฟฟ้าห้าสีนั่นแหละ

บอกได้คำเดียวว่าสลดใจ

ไม่เข้าใจจริงๆว่าอะไรดลใจฝ่ายคอสตูมให้คิดคอนเซปท์หลุดโลกอะไรแบบนั้น เหมือนย้อนไปสมัยอาร์เอสเมื่อ10ปีที่แล้ว ขนาดว่าฉันไม่ใช่แฟชั่นกูรูยังสามารถบอกได้ว่ามันดูเฉิ่มและเชยมาก นี่ถ้าไม่ใช่คนใส่หน้าตาดีเป็นทุนอยู่แล้วนี่นึกไม่ออกจริงๆว่าจะเอน็จอนาถขนาดไหน ส่วนเรื่องเพลงก็ทำออกมาได้ธรรมดา ไม่ได้ดึงเอาศักยภาพของแต่ละคนออกมาได้อย่างเต็มที่เลย
โดยรวมคือเซ็งกับอัลบัมชุดนี้

มาที่เรื่องอื่นกันบ้าง ตอนนี้ฉันกำลังทำ Project ชิ้นใหม่ เป็นงานที่ยังไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือทำ MV ให้งานแต่งงานของเพื่อน

งานนี้เป็นงานที่ท้าทายมาก เพราะทำยากกว่า presentation ภาพนิ่งที่เคยทำมาแล้ว การทำ MV เป็นการทำงานกับภาพเคลื่อนไหว จะต้องมีการผูกเรื่อง ออกแบบท่าทาง มีการตัดต่อภาพที่เนียน ดูเป็นเรื่องเดียวกัน ส่วนที่ต้องร้องเพลงก็ต้องให้ตรงกับเพลงที่ใส่จริงๆ มันซับซ้อนกว่าภาพนิ่งมาก

แต่ก็นะ บางครั้งเรื่องยากๆมันก็แฝงความท้าทายในขณะเดียวกัน ฉันเองก็เป็นคนชอบทำเรื่องยากๆ อยู่แล้วด้วย

เริ่มต้นเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันใช้เวลา 1 วันถ่ายทำวีดีโอทั้งหมด โดยเราไปยังสถานที่2-3 แห่ง อุปกรณ์คือกล้อง Canon ของฉันนั่นแหละ พล๊อตเรื่องในหัวฉันก็พอมีอยู่ แต่ก็แค่คร่าวๆเท่านั้น ฉันกะว่าถึงตอนนั้นคิดอะไรออกก็ลองถ่ายไปเลย ฉันถือหลักว่าพยายามถ่ายออกมาหลายๆมุม ภาพจะได้หลากหลาย และฉันถ่ายสำรองไว้เยอะทีเดียว จะได้มีเผื่อไว้เลือกใช้ได้หลายๆโอกาส
ตอนนี้อยู่ในช่วงเรียบเรียง ตัดต่อ ซึ่งเป็นช่วงที่ยากที่สุด เพราะเหมือนฉันต้องเอาวัตถุดิบทั้งหมดที่มีมากองรวมกัน แล้วเลือกจะใช้อันไหน ไม่ใช้อันไหน

อย่างที่บอกคือฉันถ่ายสำรองไว้เยอะ ดังนั้นฉันต้องมานั่งดูวีดีโอทุกอัน แล้วเลือกว่าจะเอาอันไหนมาใส่ตอนไหน เพื่อให้เรื่องราวทั้งหมดออกมาเนียนเป็นเรื่องเดียวกัน
ฉันตั้งใจว่าสุดสัปปดาห์นี้จะทำให้เสร็จ เพราะถ้าทิ้งไว้นานความขี้เกียจจะมาเยือน ตอนนี้ไฟกำลังแรง ไอเดียกำลังกระฉูดอยู่ ควรต้องรีบทำให้เสร็จ

ถ้าทำสำเร็จมันคงเป็นงานอีกชิ้นที่ทำให้ฉันภูมิใจนะเนี่ย ภาวนาให้ฉันทำสำเร็จละกัน

Sunday, September 16, 2007

The Best of True AF4


คู่หูขวัญใจมหาชนของAFซีซั่น4

และแล้วฤดูกาลเอเอฟสี่ก็มาถึงบทสุดท้าย กับคอนเสิร์ท The Best Of True AF4 ซึ่งรวมเอายี่สิบนักล่าฝันมาขึ้นเวทีร่วมกันอีกรอบ ที่ Indoor Stadium หัวหมาก

อย่างที่ได้เกริ่นไว้ ฉันตัดสินใจไปดูเพราะคิดว่าไหนๆก็ติดตามมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไปอีกสักทีละกัน แถมได้ดูโชว์เด็ดๆที่เคยพลาดไปทั้งของพี่นัท และของน้องแจ๊คด้วย

คอนเสิร์ทคราวนี่จัดขึ้นที่ Indoor Stadium หัวหมาก ที่ซึ่งฉันเคยไปดู Take That เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ว่าแต่ใครจะไปจำทางได้ล่ะจริงมั้ย ดังนั้น ก็เหมือนอย่างเคย ฉันเช็คเส้นทางกับพี่ชายล่วงหน้าก่อนเพื่อจะได้ไม่หลง โชคดีที่การเดินทางราบรื่นดี ฉันไปถึงที่หมายห้าโมงครึ่ง เรียกได้ว่าถึงตั้งแต่ไก่โห่มากๆ คนก็ยังไม่เยอะเท่าไร

ในเมื่อมีเวลาเหลือเฟือ ฉันเดินเล่นไปตามซุ้มต่างๆ ซึ่งดูเผินๆจะเหมือนงาน Wedding Fair มาก เพราะซุ้มจะจัดกันเป็นคู่ๆ คู่แรกที่เห็นเด่นมาแต่ไกลคือคู่พี่น้องชาวเหนือนัท-ต้อล ถัดมาเป็นคู่ของศุภรดา-วิวิศน์ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นโรมิวโอกับจูเลียตโป่ง ส่วนของน้องแจ๊คที่ซุ้มจะใหญ่กว่าของคนอื่นประมาณสองเท่า ทำเอาซุ้มของน้ำฝนตกขอบไปเลย ส่วนของคนอื่นก็มีประปราย
ฉันว่าคอนเสิร์ทวันนี้ก็พอดูสนุกนะ ที่ทำแปลกคือระหว่างเล่นคอนเสิร์ท จะมีการรับบริจาคทางโทรศัพท์ด้วย ทำให้นึกถึงคอนเสิร์ทการกุศลของบรรดาแม่บ้านทหารบก

ถ้าจะถามว่าวันนี้ชอบการแสดงของใครมากที่สุด ฉันว่าลำยองของมิวสิคนี่กินขาด ดิวกับเพลงไม่มีใครรู้ก็ดีเกินคาด ของลูกโป่งนี่รักษามาตรฐานไว้สูงอยู่แล้ว และสุดท้าย แน่นอนว่าต้องเป็นโชว์ของน้องแจ็ค กับเพลงเพียงกระซิบ ซึ่งมีลูกเล่นเพิ่มขึ้นเยอะกว่าคราวก่อน อีกทั้งยังมีคืนกำไรคนดูด้วยท่ากระดกก้นอีก ทำเอาบรรดาป้าๆหัวใจแทบวาย

แน่นอนว่าผู้ชนะผลโวตคือน้องแจ๊ควีสอง ขวัญใจมหาชน สงสัยอาจเป็นเพราะคนอยากทำบุญร่วมกับน้องเขาเยอะนะ ชาติหน้าจะได้มาเจอกันอีก ฉันก็ทำบุญกับเขาไปด้วยเหมือนกันแหละ แต่ไม่มากเท่าไร ไม่ได้อยากไปเที่ยวขนาดนั้น ก็วันลาพักร้อนจะหมดแล้วนิ ฉันอยากให้น้องเขาได้นะ เพราะรู้สึกสงสารที่เขาต้องออกจากบ้านเร็วเกินไป ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร แต่ฉันก็มั่นใจว่าน้องเขาต้องดังไม่แพ้ใครในรุ่นแน่นอน ก็แฟนคลับเยอะออกขนาดนั้น

ช่วงหลังแอบชอบน้องตี๋ด้วย รู้สึกว่าพอเป็นคู่หูกับแจ๊คแล้วมันดูลงตัวดี ต กับ จ ฮิฮิ



เอาล่ะ ขอจบเรื่องเอเอฟอย่างถาวร กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริงกันเสียที จะว่าไปก็ใจหายเหมือนกันนะเนี่ย

Monday, September 10, 2007

Concert Week12 & the last surprise

วินาทีระทึกใจ ใครจะเป็นผู้ชนะในซีซั่นนี้

วันนี้มีนัดที่อิมแพคอารีน่าตอนเย็นกับคอนเสิร์ทเอเอฟวีคสุดท้าย

ฉันไปถึงตั้งแต่ห้าโมงครึ่ง เนื่องด้วยกลัวว่าคนจะเยอะ จะหาที่จอดลำบาก ประกอบกับเจ้าโมโม่ก็ออกไปตั้งแต่สามโมงครึ่ง นี่เป็นการดูที่อิมแพคครั้งแรกของฉัน ด้วยความวิตกจริต ฉันแวะถามทางกับยามในเมืองทองธานีตลอดทางเพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะไม่หลงอีกเหมือนคราวที่แล้ว

ตอนฉันไปถึงมีคนไปพอประมาณ มีการเล่นเกมส์ในซุ้มของสปอนเซอร์ต่างๆเสียงดังโหวกเหวกไปหมด ฉันเดินพุ่งไปหาซุ้มของ JMC ซึ่งอยู่ในหลืบมากๆ อยู่ติดกับซุ้มของวีตี๋เพื่อนรัก โมโม่นั่งรออยู่แล้ว ขณะที่ในซุ้มกำลังมีการเล่นเกมส์ชิงรูปน้องแจ็คกันอยู่ ฉันเห็นครอบครัวน้องแจ็คมากันพร้อมหน้า รวมทั้งบรรดาแฟนคลับบางคนที่คุ้นหน้าเหมือนเคยเห็นที่ทรูทองหล่อ ซุ้มของน้องแจ๊คนี่มีการตกแต่งด้วยรูปภาพอย่างสวยงาม แถมมีหุ่นขนาดเท่าตัวจริงมาให้ถ่ายรูปด้วยซะอีก ลงทุนมากๆ

พูดถึงบรรยากาศโดยรวมวันนี้ คนเยอะมากๆ เจ้าแป้งยังพูดเลยว่ามาดูคอนเสิร์ทที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เคยเจอครั้งไหนที่คนเยอะขนาดนี้

พอได้เวลาฉันก็แยกกับเจ้าแป้ง เข้าไปกับโมโม่ที่แสตนด์ของเหล่าJMC ซึ่งอยู่ปีกขวาของเวที
ฉันเพิ่งเคยมาอิมแพคครั้งแรก ข้างในอิมแพคดูใหญ่โตกว่าธันเดอร์โดม แต่ก็ไม่ได้มากเท่าที่ฉันคิดตอนแรก สักพัก เหล่าแฟนคลับ JMC ทยอยกันเข้ามา พร้อมทั้งแจกอุปกรณ์การเชียร์นานาชนิด ทั้งพู่ กระดิ่ง โทรโข่ง และแท่งเรืองแสง อืม ทึ่งในความทุ่มเทของคนเหล่านี้จริงๆ

พูดถึงคอนเสิร์ทโดยรวมก็สนุกทีเดียว ทุกคนร้องกันดีมากๆ โดยเฉพาะลูกโป่ง ร้องได้อลังการสุดๆ

หลังจากทุกคนร้องจบก็มี surprise ที่รอคอยคือน้องแจ็คและผองเพื่อนที่ออกไปแล้วมาร้องเพลงที่แต่งขึ้นเอง ถึงตอนนี้แฟนคลับถึงกับนั่งไม่ติดกันทีเดียว ขึ้นมาชูป้ายกรีดร้องกันอย่างคึกคัก ฉันเองก็นั่งไม่ติดเพราะมองไม่เห็น ต้องยืนขึ้นมาเพื่อจะถ่ายรูปน้องๆนั่นเอง

สำหรับตำแหน่งที่หนึ่งฉันก็ไม่ติดใจอะไรหรอกที่นัทได้ ติดแค่อยากให้ลูกโป่งได้ที่ดีกว่านี้เท่านั้นเอง

และแล้ว เอเอฟสี่ก็ ก็ ก็ ..... ไม่ยอมจบง่ายๆ ตามสไตล์ทรูเขาล่ะ ยังอุตส่าห์ขุด surprise สุดท้ายมาเล่น ด้วยการให้ทั้ง 20 คนกลับเข้าบ้านใหม่เพื่อมาแสดงคอนเสิร์ทอาทิตย์หน้าอีกที่อินดอร์เสตเดียม หัวหมาก

ฉันแอบคิดว่านี่มันฤดูกาลกอบโกยกันจริงๆนะเนี่ย แต่ก็ดี ได้ดูน้องแจ็คในบ้านอีก 1อาทิตย์ กลายเป็นว่าชีวิตที่เหมือนจะกลับเข้าสู่ภาวะปรกติอีกครั้งก็เลยยืดออกไปอีก 1 อาทิตย์ ตอนนี้กลายเป็นว่าต้องรีบกลับบ้านไปดูทรูโมเมนต์อีกแล้ว เฮ้อ

ปล. หลังจากลังเลเรื่องคอนเสิร์ทวีคหน้าอยู่นาน ฉันก็ตัดสินใจไปดูอีกแล้วล่ะ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก ไปดูขำๆ

ไว้ดูเสร็จจะมาเล่าบรรยากาศให้ฟังต่อๆไป

Sunday, September 2, 2007

เกาะเวทีดูคอนเสิร์ทเอเอฟสี่ วีคสิบเอ็ด

ภาพคอนเสิร์ทวีคสิบเอ็ดแบบไกลๆ

ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดอยากจะไปดูคอนเสิร์ทเอเอฟที่ธันเดอร์โดมนะ แต่พอไปเรื่อยๆ คนที่ชอบก็เริ่มทยอยออกกันไปหมด ความรู้สึกอยากเลยเริ่มหายๆไป ในบ้านที่เหลืออยู่ก็ไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษ


ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ทำไมคนที่น่าดูกลับออกไปซะเกือบหมด สมมติว่าถ้าคนที่ออกนอกบ้านไปแล้วมาจัดคอนเสิร์ทในวันเดียวกันนี้ ฉันยังอยากจะไปดูทางนั้นมากกว่าเลย

นักล่าฝันรอบสุดท้ายที่ใฝ่ฝัน น่าเสียดายทั้งห้าคนมากๆ

แต่แล้ว ฉันก็ตัดสินใจไปดูคอนเสิร์ทวีคที่สิบเอ็ดกับน้องๆที่ทำงาน เหตุผลเดียวคือฉันชอบเพลงในวีคนี้หลายเพลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงสากลสนุกๆ เช่น All rise, Bye *3, Mambo no.5,etc. ฉันเองก็อยากมาดูบรรยากาศจริงๆด้วยล่ะว่าจะสนุกแค่ไหน

ตอนแรกลังเลว่าจะเอารถไปดีรึเปล่า คิดๆไปก็ตัดสินใจขับไปดีกว่า จะได้เรียนรู้เส้นทางไว้เผื่ออาทิตย์หน้าด้วยเลย

เพื่อความไม่ประมาท ฉันเช็คเส้นทางกับพี่ชายก่อนไป เพราะฉันไม่เคยขับไปที่เมืองทองธานีเองเลย ฉันมักจะทำอย่างนี้เพื่อกันหลง

สุดท้ายฉันก็หลงจริงๆ แต่ว่าหลงในเมืองทองธานีนะ

รู้สึกฉันจะขับวนในเมืองทองครบหนึ่งรอบกว่าๆ กว่าที่จะหาธันเดอร์โดมเจอ

หลังจากจอดรถ เจอเพื่อน เราก็ต่างตระเวนกันเล่นเกมส์ตามซุ้มต่างๆ ด้วยความหวังอันสูงสุดว่าจะได้ตั๋ว

ปรากฏว่ามีคนคิดเหมือนเราประมาณหลายร้อยคน เราเลยผิดหวังไปตามระเบียบ ไม่ได้ตั๋วมาสักใบ

แต่ความพยายามเฮือกสุดท้าย ทำให้ตั๋วทั้งห้าใบมาอยู่ในมือพวกเราได้เป็นผลสำเร็จ ฉันคงไม่เล่ารายละเอียด แต่ก็ขอขอบคุณคุณแม่ของลูกโป่งมา ณ ที่นี้ด้วย หนูสัญญาว่าจะโวตให้ลูกโป่งเป็นการตอบแทนค่ะ

ตอนแรกฉันคิดเสมอว่าเวทีดูใหญ่จัง ของจริงดูเล็กกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะ ประกอบกับสัปดาห์นี้คนเยอะมากๆ อาจเป็นเพราะเป็นสัปดาห์สุดท้ายที่ธันเดอร์โดมแห่งนี้ก็เป็นได้

บรรยากาศก็เน่นอนว่าเหมือนดู live concert ดูเหมือนนักล่าฝันมีตัวตน จับต้องได้มากกว่าตอนดูในทีวีซะอีก

โดยรวมๆก็สนุกดีเลยล่ะ มีหลายคนโชว์ได้น่าประทับใจมาก

ถ้าไม่ติดว่ามีฝนพรำตอนขากลับ กับรถที่ติดนรกตอนขากลับ จะperfect มากๆ

อาทิตย์หน้าเจอกันใหม่ที่อิมแพคจ้า คราวนี้รับรองจะไม่ให้หลงทางอีกแล้ว ฮิฮิ


ปล.1 ได้เจอแม่พี่นัทด้วย ดูน่ารักเป็นกันเองดี

ปล.2 อยากถ่ายรูปกับครูเลย์ แต่หาไม่เจออ่ะ น่าเสียดาย

ปล.3 คุณปูเป้ พิธีกรทรู แขนเล็กมากๆ

ปล.4 น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นน้องแจ๊คบนเวทีแห่งนี้ คิดว่าถ้าน้องอยู่ถึงวีคนี้ คงจะมีโชว์มหัศจรรย์ให้เราได้ดูอีกแน่นอน

Sunday, August 26, 2007

ความฝันบ้าๆ

หลังจากอ่านหนังสือเรื่องความฝันโง่ๆของวินทร์ เลียววาริณจบ ฉันนึกถามตัวเองว่านี่เรามีความฝันบ้าๆอะไรที่อยากทำบ้างมั้ย

จู่ๆความคิดนึงก็แวบขึ้นมา

ฉันเคยฝันว่าอยากมีหนังสือของตัวเองซักเล่มนึง (เล่มนึงเป็นอย่างน้อย ที่จริงมีหลายเล่มก็ได้ ยิ่งดี)

เรื่องราวที่เขียนขอเป็นอะไรที่ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมุมมองชีวิต ประสบการณ์ต่างแดน หรือเกร็ดท่องเที่ยว อะไรประมาณนั้น

มันดูเป็นความฝันบ้าๆ เพราะฉันเองไม่ได้เรียนจบหรือทำงานในสาขาวารสารหรือสิ่งพิมพ์เลย ฉันไม่รู้จักสำนักพิมพ์ที่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี

ตอนนี้ สิ่งที่ฉันพอจะทำได้คือ การถ่ายทอดความคิดลงบล๊อคอันนี้ อยากเขียนอะไรก็เขียน เผื่อว่าสักวันนึงฉันอาจจะคัดเรื่องดีๆน่าสนใจมารวมเล่มขายได้

ความฝันบ้าๆอีกอย่างของฉันคือการเดินทางดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลกทั้งเจ็ด ซึ่งที่ผ่านมาฉันเคยเห็นแค่ StoneHenge กะตาแห่งเดียวเท่านั้น

ฉันเพิ่งได้รู้ว่าตัวเองชอบการเดินทางนะ คนอย่างฉันอยู่กับที่ไม่ค่อยได้หรอก เดี๋ยวความรู้สึกมันก็บอกว่านี่ควรจะไปไหนซักที่ได้แล้วนะ

ฉันเป็นพวกประเภทเที่ยวแบบลุยๆ เดินเยอะๆ เวลาเที่ยวทีฉันเดินได้ทั้งวันเลยนะ ฉันชอบดูชีวิตผู้คน ชมสถาปัตยากรรม และก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศให้ได้มากที่สุด

เวลาเที่ยว ฉันมักไม่ทำสิ่งต่อไปนี้คือ ถ่ายรูปตัวเองทุกหัวมุมถนน ทุกอิริยาบท ช๊อปปิ้งซื้อของอะไรมากมาย กินอาหารในภัตตาคาร ทั้งหลายที่กล่าวมานี้ มันไม่ใช่จุดประสงค์ในการเดินทางของฉันเลย

การเดินทางที่คุ้มค่าคือเราได้เห็นอะไรที่เป็นจิตวิญญาณของสถานที่นั้นๆให้ได้มากที่สุด

ความฝันบ้าๆของฉันยังไม่หมดแค่นี้หรอก ไว้เมื่อไรนึกขึ้นได้จะมาเขียนต่อ

Friday, August 24, 2007

การเดินทางของความรัก


ภาพประกอบ: เมืองGengenbach Germany ที่ฉันเคยอยู่เกือบสองปี

เมื่อวานฉันได้รับอีเมลที่เหมือนกันถึงสามครั้งส่งจากคนสามคน เป็นลิงค์เกี่ยวกับคลิปวีดีโอการขอแต่งงานออนไลน์ของชายหญิงคู่หนึ่ง โดยในสามเมลนั้นมีหนึ่งเมลที่มีข้อความเขียนเน้นว่าโรแมนติกมากๆ
ดูจากในคลิปก็พอเข้าใจอารมณ์ของคนที่อยู่ ณ ที่นั้นว่าตื่นเต้นดีใจเพียงใด คนดูบางคนก็อาจมีอารมณ์ไปด้วย โดยเฉพาะคุณผู้หญิง คงอดคิดไม่ได้ว่าชาตินี้จะมีคนทำแบบนี้ให้เราบ้างไหมนะ พอดูจบฉันกลับรู้สึกเฉยๆนะ ไม่ได้ซาบซึ้งโรแมนติกไปกับเขาเท่าไร คือ ถ้าเป็นฉัน ฉันคงรู้สึกแปลกๆที่การขอแต่งงานของฉันกลายเป็นเรื่องสาธารณะเช่นนี้ เอาเถอะ คนเราย่อมมีมุมมองไม่เหมือนกันอยู่แล้ว

ถ้าคุณไปถามความรู้สึกของคนที่กำลังจะแต่งงาน ทุกคนย่อมจะบอกว่ารู้สึกดีมีความสุขทั้งนั้น

สำหรับฉัน มันเหมือนกับการถามความรู้สึกของคนที่กำลังจัดกระเป๋าเพื่อที่จะไปท่องเที่ยวว่า การเดินทางเป็นอย่างไร สนุกมั้ย

สิ่งที่ตอบล้วนแต่เป็นสิ่งที่นักเดินทางเพียงแต่คาดหวังว่า อืม คิดว่ามันคงราบรื่นนะ อากาศคงจะดีนะ หวังว่าคงจะสนุกนะ

มันหาคำตอบอะไรจริงๆไม่ได้หรอก ก็เพราะการเดินทางมันยังไม่ได้เริ่มต้นเลยนะสิ

---------------------------------------------------------
ฉันได้หนังสือต้องห้าม Thaksin:Where are you? มาอ่านหลายวันแล้ว

อืม ฉันไม่ค่อยสนใจประเด็นการเมืองเท่าไร แค่มีเรื่องนึงที่ฉันอ่านแล้วรู้สึกประทับใจ คือเวลาที่คุณทักษิณพูดถึงความผูกพันที่มีต่อคุณหญิงพจมาน

คำพูดไม่ได้หวานอะไรมากมาย แต่ก็ทำฉันประทับใจจนเก็บไปคิดเลยว่าในโลกนี้จะมีคนที่รู้สึกกับเราอย่างนี้บ้างรึเปล่าเนี่ย

เหมือนกับฉันได้ฟังเรื่องเล่าจากนักเดินทางผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ถึงการเดินทางอันน่าจดจำของเขา ฟังแล้วมันตราตรึงในจิตใจดีเหลือเกิน

ฉันคิดว่า ความรักจะเริ่มต้นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่ว่ามันดำเนินไปอย่างไรมากกว่า

เพราะเหตุนี้ละมั้ง ฉันถึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับการจัดกระเป๋าเดินทางเท่าไร ^^

ตะกอนของความคิด

ภาพประกอบ: พระจันทร์ที่ขั้วโลกเหนือ (ในรูปเขาอธิบายว่างั้นน่ะ)

ช่วงนี้ฉันได้มีโอกาสคุยกับน้องชายมากขึ้น ได้ถกกันในหลายๆเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดและ ปรัชญา ฉันว่าไอ้ความช่างคิดนี้ต้องถ่ายทอดทางพันธุกรรมแน่นอนเลย เพราะพ่อฉันก็เป็นคนช่างคิดเหมือนกัน

เราทั้งคู่ชอบงาานเขียนของวินทร์ เลียววารินทร์ เพราะเขามักจะแฝงปรัชญา ความคิด หรือ คำคมเด็ดๆไว้ในงานเขียนของเขาอยู่ตลอด ฉันว่าเขาเป็นอีกคนที่มีความคิดคมมากๆ มีมุมมองและแนวทางเป็นของตนเอง บางเรื่องอาจดูเป็นความคิดที่แปลกสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฉันแล้ว ฉันชอบคนที่มีแนวคิดใหม่ๆไม่ซ้ำใคร

ฉันมักตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆเกี่ยวกับค่านิยมของสังคมหลายๆเรื่อง เช่นว่าทำไมจะต้องดำเนินชีวิตตามแบบที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน ทำไมต้องเชื่อในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาเชื่อกัน ฉันคิดเสมอว่าแต่ละคนมีเงื่อนไขในชีวิตที่ต่างกัน สิ่งที่เหมาะกับคนนึงอาจจะไม่เหมาะกับอีกคนนึง คนบางคนถือเอาบรรทัดฐานของคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเงื่อนไขของตนเอง ประมาณว่าอะไรที่คนส่วนใหญ่บอกว่าถูกคือถูก ผิดคือผิด อันนี้ฉันไม่เห็นด้วยอย่างแรง

สำหรับฉันแล้วฉันจะถามตัวเองก่อนเสมอว่าสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้มันเหมาะกับเราหรือเปล่า ฉันเชื่อว่าเราทุกคนรู้จักตัวเองดีที่สุด ถ้ามันฝืนตัวเราฉันก็ไม่ทำนะ ต่อให้คนค่อนโลกมองว่ามันถูกก็ตาม แต่สำหรับเรามันไม่ใช่นี่นา

ฉันว่าคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องไกลตัวมากกว่าเรื่องของตัวเอง ตัวอย่างเช่นผู้ชายมักจะสนใจเรื่องการเมือง วิพากวิจารณ์กันอย่างถึงพริกถึงขิง ส่วนผู้หญิงมักจับกลุ่มกันวิพากวิจารณ์เรื่องส่วนตัวของคนอื่น ที่จริงมันก็ไม่ผิดหรอกที่จะสนใจเรื่องอื่นๆ เพียงแต่ฉันคิดว่าอย่างไปจริงจังกับมันเกินไป เราก็ได้แต่พูด ได้แต่วิจารณ์ ได้แต่คิด สุดท้ายแล้วมันก็เท่านั้นจริงๆ เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรอก

ไม่รู้สิ เรื่องภายนอก ฉันให้ความสนใจพอควร แต่สุดท้ายก็ปล่อยวางหมด ฉันมองว่าทุกสิ่งในโลกนี้มันเหมือนสิ่งที่สมมติขึ้นมา ตัวตนที่แท้จริงมันไม่มี มีแต่ความเชื่อที่คนสร้างขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้นอย่าไปยึดติดกับอะไรมากจนเกินไป

ความคิดของฉันอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับใครอีกหลายคน แต่ฉันก็ไม่ซีเรียสนะ เอาเป็นว่าการมองโลกแบบนี้ทำให้ฉันทุกข์น้อยลงละกัน แล้วฉันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนด้วย

Wednesday, August 22, 2007

ว่าด้วยปรัชญาชีวิต

ไม่รู้ทำไมนะ ฉันถึงชอบมองท้องฟ้าสีฟ้า มันทำให้ใจมันสงบสบายบอกไม่ถูกจริงๆ

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาฉันค่อนข้างเหนื่อยกับงานจริงๆ เป็นเพราะถึงช่วงที่งานยุ่งบวกกับมีออดิตมาตรวจที่แผนกอีกด้วย ทำฉันจิตตกไปพักใหญ่ทีเดียว

พูดถึงงานแล้ว บางวันฉันก็รู้สึกสนุกกับมันนะ แต่บางวันฉันก็รู้สึกเบื่อๆเซ็งๆกับมัน จริงอย่างที่เขาว่า ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิตจริงๆ ทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ง่ายๆเลย แค่ใจเรานี่แหละ ดูง่ายที่สุด เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์สลับกันไปเรื่อยๆ บางครั้งมันเปลี่ยนรวดเร็วมากจนไม่ทันสังเกตเลยทีเดียว อะไรที่เคยชอบ ตอนนี้กลับไม่ชอบ อะไรที่เคยไม่ชอบ ไปๆมาๆก็ยอมรับได้ไปเอง ประมาณนี้แหละ

ณ ตอนนี้ฉันพยายามที่จะยอมรับในความจริงข้อนี้ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ปล่อยวางอะไรได้ง่ายขึ้น
อืม ฟังดูธรรมะธรรมโมสิ้นดีนะ ที่จริงฉันก็ไม่ได้แตกฉานอะไรเรื่องศาสนาเท่าไรหรอก ฉันว่าธรรมะเป็นเรื่องธรรมชาตินะ คือเป็นการทำชีวิตให้ปกติธรรมดา ยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ


แต่ก่อนเวลาทำอะไรสักอย่าง ฉันใส่ความคาดหวังลงไปมากมาย พอไม่เป็นอย่างที่หวัง ฉันก็หดหู่ ทำอะไรไม่ได้ไปหลายวันเลย

ตอนนี้ฉันเลยฝึกตัวเองไม่ให้คิดอะไรมากมาย ฉันถือว่าเราทำให้ดีที่สุดละกัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็รับได้หมด

ดีที่ฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยจำเรื่องอะไรที่ผ่านไปแล้ว ฉันถือว่าอดีตก็คืออดีต เราไปแก้ไขอะไรได้มั้ย แล้วจะมานั่งเสียใจไปทำซากอะไร แค่ถือเอาเรื่องร้ายๆเป็นบทเรียนเพื่อที่จะไม่ให้ทำพลาดอีกละกัน

อย่างที่ฉันเคยเขียนไว้ตั้งนานแล้ว ความคิดของเราคือกุญแจสู่ทุกสิ่ง คิดดี มองโลกในแง่ดี ก็สุข คิดร้าย มองโลกในแง่ร้าย ก็ทุกข์ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้วทำไมยังจะเลือกทำให้ตัวเองเป็นทุกข์อีกล่ะ




Sunday, August 12, 2007

สุขสันต์วันแม่



ในที่สุดก็ถึงเทศกาลวันแม่อีกปีนึงแล้ว ถ้าจะถามความรู้สึกของคนที่แม่ไม่อยู่แล้วอย่างฉันเนี่ย อืม...ก็คงตอบว่าเฉยๆนะ ที่จริงฉันก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่ไม่ได้มีโอกาสให้ของขวัญให้แม่หรือพาแม่ไปเที่ยวเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันแค่ลำบากใจนิดหน่อยเวลาจะปฏิเสธคนที่พยายามตื้อเอาดอกมะลิหรือของขวัญวันแม่มาขาย ไม่เว้นแม้แต่ในที่ทำงานฉันเองนะ เขาคงมองฉันด้วยสายตาตำหนิเหมือนฉันเป็นลูกอกตัญญู แค่ของซื้อให้แม่ยังทำลังเลอีก ฉันขี้เกียจที่จะต้องมาอธิบายเหตุผลทุกครั้งหรอกว่าฉันไม่มีแม่ที่จะให้ของแล้วนิ พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าฉันทำตัวน่าสงสารซะอีก

อย่างที่เขาพูกกันว่าการรักแม่เนี่ยไม่จำเป็นต้องรอถึงวันแม่หรอก เราสามารถที่จะบอกรักแม่ได้ทุกวัน ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ

ตอนที่แม่ยังอยู่ ฉันก็ไม่ได้อ้อนอะไรกับแม่เท่าไรหรอก ยิ่งบอกรักนี่ไม่เคยเลยมั้ง รู้สึกกระดากเขินน่ะ แต่ฉันจะแสดงความรักโดยการเป็นลูกที่ดี ไม่สร้างปัญหาให้พ่อแม่ ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบโท ฉันทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุดเสมอมาโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชอะไรเลย เวลาฉันจะทำอะไร ฉันจะคิดถึงพ่อแม่ก่อนเสมอว่าเรื่องนี้จะทำให้ท่านลำบากใจหรือไม่สบายใจรึเปล่า

เมื่อนึกถึงแม่ ฉันมักจะนึกถึงสิ่งที่ท่านสอนอยู่เป็นประจำ เช่นให้เป็นคนรู้จักให้ มีน้ำใจ และช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งฉันก็นำมาปฏิบัติอยู่ตลอดนะ ถ้าใครทำไม่ดีกับเราแม่ก็จะบอกให้ช่างเขาเถอะ เพราะเราไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้หรอก เราทำของเราให้ดีที่สุดละกัน นอกจากนี้แม่ก็ยังสอนให้รู้จักเกรงใจผู้อื่น และก็สอนให้ฉันเชื่อผลของบาปบุญคุณโทษ

ทุกครั้งที่นึกถึงคำสอนของแม่ ฉันก็เข้าใจว่าที่จริงแม่ไม่ได้หายไปไหนหรอก แม่อยู่กับฉันตลอดเวลา ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน คำพูดของท่านก็ยังอยู่ในใจของฉันเสมอ

ฉันก็แค่หวังว่าช่วงเวลาที่แม่ยังอยู่ ฉันคงจะไม่ได้ทำอะไรให้ท่านผิดหวังนะ ฉันรู้แต่เพียงว่าฉันทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว สำหรับฉันเองคงจะไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้วล่ะ

Friday, August 10, 2007

ไปบริจาคเลือดมาอีกแล้ว



วันนี้ได้ฤกษ์ไปบริจาคเลือดครั้งที่สอง ที่จริงก็ยังไม่ครบสามเดือนเต็มหรอก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะอยากไปวันนี้นิ

คราวที่แล้วฉันไปตอนกลางวันไปนั่งรอคิวนานมาก ไม่รู้วันนั้นคนประมาณล้านแปดเกิดใจบุญขึ้นมาพร้อมกันรึไง วันนี้เลยไปแต่เช้า ฉันถึงสภากาชาดประมาณ8.30 น. ปรากฏว่าโล่งมาก แทบไม่มีคิวรอเลย สามารถเลือกเตียงได้ตามใจชอบ คราวที่แล้วมีผู้มาให้กำลังใจนับสิบคน(แต่บริจาคแค่ 3คน) คราวนี้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เหลือแค่3 คนเท่านั้น

วันนี้ตอนนอนให้เลือดฉันรู้สึกว่าเลือดไม่ค่อยปรี๊ดเท่าไร คือคราวก่อนเวลาบีบลูกบอลเพื่อให้เลือดเข้าถุง รู้สึกว่ามันปรี๊ดดี หมายถึงเลือดไหลคล่องน่ะ คุณนางพยาบาลบอกว่าเลือดฉันหนืดไปหน่อย สงสัยเป็นเพราะยังเช้าอยู่ละมั้ง ยังไม่ได้ทานอะไรเท่าที่ควร คุณพยาบาลบอกว่าคราวหน้าให้ดื่มน้ำมาเยอะๆหน่อย ซักครึ่งลิตรก่อนมาบริจาคก็จะดีมาก เพราะเดี๋ยวจะก็ต้องถูกเอาออกไป 450 มล.แน่ะ

คนอาจสงสัยว่าทำไมจู่ๆฉันถึงได้เห่อไปบริจาคเลือดจัง ที่จริงฉันมีความตั้งใจอยากจะไปบริจาคตั้งแต่ตอนที่แม่ไม่สบายแล้ว แต่รู้สึกตอนนั้นยังกลัวๆหน่อย ผ่านมาสามปีแล้วรู้สึกว่าตอนนั้นกลัวอะไรวะ ไม่เห็นจะต้องกลัวเลย เจ็บก็แป๊ปเดียว เดี๋ยวก็หาย ดีซะอีก เป็นการช่วยผู้อื่นโดยไม่ต้องเสียอะไรมากมายเลย
ฉันคิดว่าจะบริจาคอย่างนี้ไปเรื่อยๆนั่นแหละจนกว่าร่างกายจะไม่เอืออำนวยให้ทำ

Tuesday, August 7, 2007

ความสุขแบบง่ายๆของฉัน

ว่ากันว่าความสุขของคนเรา บางทีมันก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนอะไรมากมายนะ ก็แค่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบก็โอเคแล้ว

สำหรับฉัน สิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขคือเสียงเพลง



ฉันชอบฟังเพลงสบายๆ แนว Jazz และก็ Popนะ ส่วนใหญ่ที่ชอบฟังจะเป็นเพลงสากล จำได้ว่าฉันเริ่มฟังสากลตั้งแต่สมัยตอนประถมแน่ะ เวลาฟังก็ชอบแปลเนื้อเพลงด้วย เพราะอยากรู้ความหมาย และก็หัดร้องตาม ถึงตอนนี้ฉันต้องขอขอบคุณเพลงพวกนี้นะที่ทำให้ฉันชอบภาษาอังกฤษขึ้นมา



เพลงสากลช่วงแรกที่ฉันฟังจะสมัยประถม ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงยุคปลาย80-ต้น90 เพลงที่ฉันฟังบ่อยก็เช่นเพลงของ producer มือทอง Stock Aitken Waterman นี่จะชอบมากเป็นพิเศษ เขาเรียกว่าแนว synthetic pop หรือแปลเป็นไทยว่าเพลงป็อปสังเคราะห์ ศิลปินโปรดของค่ายนี้ก็เช่นKylie Minogue , Jason Donovan, Rick Astley, Bananarama, etc.

ถ้าเป็นเพลงฝั่งอเมริกาก็จะชอบฟังของ NKOTB, Madonna, Gloria Estefan ประมาณนี้ ที่จริงยังมีอีกมากเลยนะ ขอให้เป็นเพลงป๊อปสนุกๆ หรือเพลงช้าซึ้งๆ ฟังได้หมดเลย เพลง R&B ก็ชอบนะ เช่นเพลงของ Mariah Carey, Withney Houston Babyface, BoyzIIMen

พูดถึงเพลงสมัยเก่ายุคก่อนฉันเกิดฉันก็ชอบนะ ยุค Disco เช่น I will survive, I love the night life, Dancing Queen, Copacabana ฟังเท่าไรก็ไม่เบื่อนะ เป็นเพลงเต้นที่สนุก คลาสสิกมาก ยุคMotown เช่นเพลงของ Marvin Gaye ที่ร้องกับ Tammy Tarell และก็วง Earth Wind&Fire โดยเฉพาะเพลง After the love has gone นี่ โดนมากๆ ชอบมาก

พอโตขึ้นมาฉันจะฝังใจเป็นพิเศษกับเพลงช่วงตอนอยู่ม.ปลายถึงตอนมหาลัยปีสองปีสามนะ ไม่รู้สิ รู้สึกว่าเพลงป๊อปช่วงนั้นมันเพราะจัง ทั้งฝั่งอังกฤษเช่นของ Take That, Spice Girls หรือทางฝั่งอเมริกาเช่น Backstreet boys เวลากลับมาฟังเพลงพวกนี้ เหมือนกับความรู้สึกตอนนั้นมันหวนกลับมา แปลกดีเหมือนกัน

ส่วนเพลงไทยนี่ฟังในสัดส่วนที่น้อยกว่ามาก ที่ชอบจริงๆก็จะเป็นของ Bakery Music เช่นเพลงของบอย โกสิยะพงษ์ พี่นภ พรชำนิ Groove Rider โยคีเพลย์บอย และก็เพลงของแกรมมี่เก่าๆ เช่นของทาทา. คริสติน่า.ใหม่ ประมาณนั้น

K-pop ก็ฟังเหมือนกันนะ ฉันชอบเพลงของ S.E.S. เกือบทุกเพลงเลย

เพลง Jazz นี่เพิ่งจะมาชอบช่วงหลังๆ อาจเพราะวัยที่มากขึ้นละมั้ง ศิลปินที่ชอบก็ George Benson, Dave Grusin, Casiopea (fusion Jazz จากญี่ปุ่น) นอกนั้นก็จิปาถะ ฟังได้หมด ไม่ว่าจะเป็นvocal or instrumental หรือแตกแขนงจาก Jazz เช่น แนว Lounge, Bossa Nova ก็ชอบนะ ฟังสบายดี เพลงClassic เช่นของ Mozart, Bach, Beethoven ก็ยังฟังเลย

ตอนสมัยก่อนจะชอบฟังวิทยุเป็นประจำนะ ตอนนั้นจะมีคลื่นเพลงสากล 95.5 FMx และ smooth 105 FM ที่ฟังบ่อยมากๆ ปัจจุบันแทบไม่เหลือแล้วมั้ง ตอนนี้ก็เลยฟัง Breeze FM 98.5 ซะส่วนใหญ่

เมื่อฟังเพลงแล้ว ก็ต้องพูดถึงการร้องเพลงด้วย เพราะฉันไม่ฟังอย่างเดียวหรอก ต้องร้องตามด้วยทุกครั้ง ส่วนใหญ่เพลงที่ฉันชอบนี่ฉันจะต้องหาเนื้อเพลงเพื่อเอามาร้องตามทุกครั้ง

ไอ้โรคชอบร้องเพลงนี่สงสัยจะเป็นพันธุกรรม เพราะแม่ฉันก็ชอบร้องเพลงมาก เวลาที่ได้ร้องเพลงเนี่ยเหมือนกับลืมความทุกข์ทุกอย่างเลย เหมือนโลกมันสดใสขึ้นมาทันที

ถ้าโลกนี้ไม่มีเสียงเพลงนี่ ไม่รู้ชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรนะเนี่ย คิดไม่ออกจริงๆ

Monday, August 6, 2007

ปรากฏการณ์แจ๊คที่ทรูทองหล่อ


ขอต่อเรื่องน้องแจ๊คอีกหน่อยจากวันก่อน

พอน้องแจ๊คออก เราก็แทบจะเลิกดูเอเอฟไปเลยเพราะไม่รู้จะดูใคร พอดีเจ้าโมโม่ น้องที่ทำงานและก็เป็นแฟนคลับน้องแจ๊คเหมือนกันชวนไปที่ทรูทองหล่อวันจันทร์ไปดูน้องเขาอัดรายการ Secret of Academy

ตอนแรกลังเล เพราะไม่รู้จะไปทำไม สักพักก็ เอาวะ ไปก็ไป ก็ตกลงว่านัดเจอกันที่เซ็นทรัลพระราม 3 โมโม่มาตรงเวลามาก (ซึ่งผิดจากปกติโดยสิ้นเชิง) เราไปถึงทรูทองหล่อประมาณบ่ายโมง โชคดีที่เป็นวันหยุด รถเลยโล่ง โห บอกได้คำเดียวว่าคนเยอะมากๆ เผินๆใครไม่รู้คิดว่าวงดงบังชิงกิมาซะอีก น้องแจ๊คมาประมาณบ่ายสาม คนงี้กรี๊ดกันสนั่น วันนั้นน้องดูมีสง่าราศีมากๆ เมื่อเห็นแฟนคลับ น้องถึงกับร่ำไห้ แถมยังโบกมือให้แฟนคลับรอบๆ ยิ้มเก่งมากหยั่งกะนางงาม

ตอนสัมภาษณ์ก็ตลกมาก แจ๊คตอบแต่ครับๆ พูดน้อยจริงๆ ว่าแต่น้องแอบมีหลุดวาทะเด็ดแห่งปีออกมาเหมือนกัน ตอนที่พิธีกรคือพี่หญิงพยายามแอบหลอกถามผู้หญิงในเสป็คของน้องเขา แจ๊คทำพี่อึ้งไปเลยกับคำตอบที่ว่า"ผมว่าไอ้รูปลักษณ์ภายนอกนี่ พอนานไปมันก็ .. อืม แล้วผมก็ใช่คนperfect ขนาดเลือกได้ขนาดนั้น .. " แม่ยกงี้นำ้ตาแทบไหล



พอน้องสัมภาษณ์เสร็จก็ถูกแฟนคลับนับร้อยรุมทึ้งพอประมาณโดยมีพี่กระเทยคนนึงพยายามปกป้องดูแลไม่ให้แจ๊คโดนเหยียบตายซะก่อน ฉากนี้เหมือนกับตอนที่เกรอนุยถูกทึ้งมากๆ (หมายเหตุ จากหนังเรื่อง Das Parfume or The Perfumeจ๊ะ)


หลังจากนั้นน้องก็ขึ้นรถไปกับทีมงาน หายไปอย่างไร้ร่องรอย ฉันก็เดินไปเดินมา คุยกับชาวบ้านไปเรื่อย ทำตัวเหมือนนักข่าวมากๆ เดี๋ยวก็ไปคุยกับพี่จิ๊บ พี่สาวแจ๊ค เดี๋ยวก็ไปคุยกับคุณแม่แจ๊ค พูดไปครอบครัวนี้ก็น่ารักดีนะ มนุษย์สัมพันธ์ดีกันทุกคน


แม่แจ๊คแอบถามว่าลูกตอบคำถามดีมั้ย ฉันบอกไปว่าน้องเล่นไม่ตอบอะไรเลย คุณพิธีกรพยายามล้วงเท่าไรก็ไม่ออก แม่ก็เลยบอกว่าไม่ต้องคนอื่นหรอก แม่ยังล้วงอะไรเขาไม่ออกเลย
ฮ่าฮ่า แน่มากนะน้องแจ๊ค


หมายเหตุวันที่ 11 สิงหา เราก็อุตส่าห์รอลุ้นในวีควันแม่ว่าจะมีsurpriseอะไร ปรากฏว่าน้องขึ้นมาร้องเพลงกับเพื่อนๆที่ออกจากบ้านไปแล้วหนึ่งเพลงแล้วก็ไป แต่ก็ยังดีนะที่มา ทำให้หายคิดถึงไปได้บ้าง ที่สำคัญยังน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเดิมน้า



Saturday, August 4, 2007

กลับมาคราวนี้ เพื่อมาทวงความฝันคืน...

กลับมาเขียนบล็อคจากการห่างหายไปเกือบสองเดือน ที่จริงก็ไม่ได้ยุ่งอะไรหรอก เผอิญว่าโรคเก่ามันกำเริบอีกแล้ว อืม โรคขี้เกียจน่ะ คือตลอดสองเดือนที่ผ่านมาทำท่าจะเขียนหลายรอบแต่ก็ไม่ได้เขียนซะที

คราวนี้กลับมาเขียนที่บ้านใหม่ดูไฉไลกว่าเดิม เรื่องที่เขียนก็ควรจะสนุกเข้มข้นขึ้นจริงมั้ย

ชีวิตช่วงที่ผ่านมาก็ไม่มีอะไรมาก (อีกแล้ว ไม่เคยจะมีอะไรกับเขาซักกะที) อ้าว ก็เป็นสาวออฟฟิศนิ ไม่ได้อยู่ปอเต็กตึ้ง ถึงจะได้มีเรื่องตื่นเต้นตลอดเวลา


มาอัพเดตชีวิตคร่าวๆดีกว่า

Harry Potter เล่มสุดท้ายออกแล้ว พอจะได้อ่านเรื่องคร่าวๆแล้วทางเวปพันทิพ คนที่แปลนี่มีหลายคน จะบอกว่าอแมซิ่งมากๆ ได้หนังสือกันวันศุกร์ตอนเย็น วันเสาร์เช้านี่แปลกันจบเล่มแล้ว เก่งบวกอึดมากๆ ทำเอาคุณพี่ชายไม่ได้หลับได้นอนนั่งกดปุ่มrefresh รออ่าน แถมคุณพี่ชายแสนดีก็ยังส่งไฟล์pdf มาให้ฉันได้รับใบบุญด้วย ก็ถือว่าเล่มสุดท้ายนี่ก็มีอะไรตื่นเต้นที่คาดเดาอะไรไม่ถูกหลายอย่างเหมือนกัน แต่โดยรวมก็สนุก ตื่นเต้น ไม่เสียยี่ห้อ เจ เค โรวลิ่งหรอก อ้อ ภาคภาษาไทยจะออกต้นเดือนธันวาคมจ๊ะ ส่วนหนังภาคห้า The Order of Phoenix ก็ไปดูมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนังก็ทำได้ดีระดับนึงนะ เพียงแต่เล่มห้ามันรายละเอียดเยอะมาก พอตัดเหลือแค่สองชั่วโมงกว่าๆทำให้รายละเอียดเยอะมากหายไป ภาคนี้ตัวละครทุกคนดูโตขึ้นมาก โดยเฉพาะดาเนียลซึ่งเปลี่ยนไปมาก ดูเป็นหนุ่มขึ้นเยอะ ก็อายุเพิ่งจะครบ 18ไม่นานมานี้ จะว่าไปหนูดาเนียลนี่เป็นเด็กที่มีความคิดดีมากคนนึง เขาเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการแสดงให้ trust fund ดูแล แถมตัวเองก็ยังใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นปกติทั่วไป ไม่กินเหล้าเมายาอะไรเลย น่าเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ


เอาล่ะ ต่อกันเลยกับฤดูกาลของเอเอฟ 4 Acaaaademy Fantasiaaaa....(เลียนแบบอาต้อยตอนเปิดรายการ)


ตอนแรกไม่ได้สนใจเลยเพราะรู้สึกอิ่มตัวกับรายการประเภทนี้แล้ว แถมซีซั่นที่แล้วก็ไม่ประทับใจฉันสักเท่าไร เลยคิดว่าคงไม่ติดตามอะไรเท่าไร


ปรากฎว่าคอนเสิร์ตแรกของสัปดาห์ไปสะดุดตาพ่อหนุมคนนี้เข้า


เด็กอะไรเนี่ย ติ๋มๆจัง แต่รสนิยมการเลือกเพลงใช้ได้นะเนี่ย ผมแอบชอบคุณอยู่ ฮิฮิ เพลงโปรดเราเลย

เอาวะ เชียร์น้องคนนี้ดีกว่า Jack V2 เจ้าชายไข่เจียว เงียบๆติ๋มๆเต้นไม่เก่ง แต่น่ารัก (เอามาจากธงธง มกจ๊ก)

ดูน้องแจ๊คแล้วสนุก เพราะมีให้ลุ้นทุกวีคเลย แต่ก็นะ น้องนี่ก็อึดใช้ได้ ขยันซ้อมสุดๆ แถมยัง
เป็นพ่อบ้านที่ดี ของบ้านแมคโนเลีย เป็นเด็กมีระเบียบ และมารยาทดี ขยันมาก เห็นพัฒนาการแล้วน่าติดตาม

น้องแจ๊คเลยเป็นนักล่าฝันคนแรกที่ได้เงินค่าโวตของเรา ฮิฮิ


แม้บางวีคจะทำเจ๊ใจหายใจคว่ำ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี เช่นวีคลูกทุ่งที่ทำ ให้เราไม่กล้าดูแจ๊คซ้อมสองสามวันแรก เพราะได้ยินมาว่าหลอนมากๆ อาการร่อแร่ เพี้ยนกระจาย


แต่พอบนเวทีก็ไม่ได้เลวร้ายนะ ดีเกิดคาดทีเดียว คุณไก่ยังอดชมไม่ได้ ว่าน้องเป็นแก้วน้ำที่ไม่เคยเต็ม

จนมาถึงอาทิตย์ที่แล้ว โห แจ๊คร้องเพลงเพียงกระซิบได้สุดยอดมากๆ
ในความเห็นส่วนตัวนะ เราว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดของซีซั่นนี้เลย



คนกรี๊ดให้นานมากกกกกก เหมือนตอนที่กระรอกน้อย ออฟ วีสองร้อง
เพลงหัวใจสะออน


แต่สุดท้าย เวลาในบ้านของน้องก็จบเร็วเกินคาด น้องเดินจากไปด้วยความกังขา และความคลุมเครือของผลโวต

สิ่งที่เหลือคือความรู้สึกเซ็งของฉัน แล้วต่อไปจะดูใครละเนี่ย โธ่


จบข่าว (ด้วยความรู้สึกเซ็ง)

Welcome to my new home

ย้ายถาวรจาก MSN space แล้วจ๊ะ

เขียนบล็อกได้สี่เดือนฉันก็ตัดสินใจย้ายบ้านจาก MSN Space มาเป็นที่แห่งนี้ เหตุผลนะเหรอ เพราะว่าที่นี่ฉันสามารถปรับแต่งอะไรได้มากกว่าที่เก่านะสิ ที่เก่ามันโพสรูปกับเพลงยาก แต่ฉันคงไม่ย้ายข้อความเก่าๆมาที่นี่หรอกนะ ให้มันอยู่ที่เก่าแหละดีแล้ว ฉันกะว่าจะลองอยู่ที่ใหม่ดูสักพัก ถ้ารู้สึกไม่ดีก็คงหาที่ใหม่ต่อ ฮะฮ้า ทำตัวเหมือนGypsyดีๆนี่เอง