Friday, February 29, 2008

จบตำนานพ่อมดน้อย Harry Potter




ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ซื้อ Harry Potter ยกชุดมาเมื่อเสาร์ที่แล้ว

ฉันคิดไว้นานแล้วว่าเมื่อไรที่มันออกครบ 7 เล่ม ฉันจะซื้อมาเก็บไว้ยกชุด ทีแรกฉันตั้งใจจะไปซื้อที่ร้านของนานมีเพราะได้ส่วนลดเยอะกว่าร้านทั่วๆไป แต่ก็ไม่ได้ไปสักที บังเอิญว่าฉันไปเจอชุดปกแข็งที่ร้านการ์ตูนบนเซ็นทรัลลด 20 % เหมือนกัน แถมวันนั้นเอารถไปล้างพอดี ก็เลยตัดสินใจซื้อเลยดีกว่า เบ็ดเสร็จ สองพันแปดร้อยกว่าๆ

ฉันใช้เวลาหนึ่งวันอ่านเล่มสุดท้ายแบบรวดเดียวจบ ซึ่งฉันว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างนึงของหนังสือชุดนี้นะ คือเมื่อเริ่มอ่านแล้วมันทำให้วางไม่ลงจริงๆ แต่ละตอนผูกปมให้คนอ่านอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป

เล่มสุดท้ายนี้เปิดเผยเรื่องราวความลับต่างๆ ซึ่งเป็นเสมือนกุญแจของเรื่องราวทั้งหมด ฉันคงไม่เล่าในนี้หรอก เพราะมันเยอะมาก เอาเป็นว่าเล่มจบนี้ทำให้ฉันรู้สึกเลยว่าคนเราทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านมืด ไม่มีใครที่เลวสุดโต่ง (ยกเว้นลอร์ดโวลเดอมอร์ตคนนึง) หรือดีสุดขั้ว แม้แต่ดัมเบิลดอร์ที่ดูเหมือนจะperfectเหลือเกิน ก็ยังมีช่วงชีวิตที่มืดมนเหมือนกัน (รวมถึงความจริงอันน่าตกใจที่ว่าดัมเบิลดอร์เป็นเกย์ด้วย)

พออ่านเล่มนี้จบ ฉันก็เอาเล่มแรกๆกลับมาอ่านใหม่ จำได้ว่าสองเล่มแรกอ่านตอนทำงานอยู่ Siemens แน่ะ นานมากทีเดียว บางตอนก็ลืมๆไปแล้วล่ะ ต้องมารื้อฟื้นกันใหม่

ฉันว่าในบรรดา7 เล่ม เล่มที่ทรมานจิตใจที่สุดคงเป็นเล่มที่ 5 The Order of Phoenix เพราะหนามากๆ พักกว่าหน้าได้มั้ง แต่อย่างไรฉันก็อ่านรวดเดียวจบเหมือนกัน รู้สึกว่าใช้เวลาประมาณสองวันสองคืนได้มั้ง

ฉันยอมรับเลยนะว่าคนแต่งนี่เก่งจริงๆ ปกติฉันใช่จะชอบอ่านนิยายหรือวรรณกรรมสักเท่าไร แต่เรื่องนี้นี่ทำให้ฉันวางไม่ลงทุกเล่มเลย ฉันชอบการผูกเรื่อง ปริศนา มุขตลก และสาระที่สอดแทรกอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เขาทำได้ดีมากๆ

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าไม่มีใครที่สมบูรณ์ไปซะทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าเป็นปุถุชนแล้ว เป็นธรรมดาที่จะมีทำผิดพลาดไปบ้าง อยู่ที่ว่าเราจะยอมรับมันได้มากแค่ไหน


ไม่น่าเชื่อว่าวรรณกรรมเด็กจะแฝงคำสอนได้ลึกซึ้งเพียงนี้ เอ หรือว่าฉันคิดมากไปเองหว่า

Wednesday, February 20, 2008

My Valentine Day



ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องวันวาเลนไทน์ให้ตรงวัน นี่ก็ล่วงเลยมากว่าหนึ่งอาทิตย์แล้ว ก็ช่วงที่ผ่านมาฉันยุ่งทีเดียว เลยไม่มีเวลานั่งเขียนจริงๆจังๆซักที

ที่อยากจะเขียนก็ใช่ว่าจะมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นในปีนี้หรอก ชีวิตของฉันมันยังไม่มีอะไรหวือหวาในเรื่องนี้เท่าไร สำหรับฉันมันก็แค่วันทำงานวันนึงที่ยุ่งจริงๆ แถมรถก็ยังติดอีกต่างหาก ต้องรอจนดึกกว่าจะได้กลับบ้าน

ตลกดี ฉันกับน้องอีกคนที่ทำงานระลึกได้ว่าปีที่แล้วก้เหลือเราสองคนแบบนี้แหละในออฟฟิศคืนวันวาเลนไทน์ เมื่อปีก่อนเราพูดติดตลกกันว่า นี่จะเป็นปีสุดท้ายที่เราจะนั่งหงอยแบบนี้

ผ่านมาปีนึงเร็วจริงๆ ทว่าสถานการณ์ยังคงเหมือนเดิม เราเลยคุยกันเหมือนเดิมว่าปีหน้าจะไม่เอาอีกแล้ว

ฉันแอบเห็นสาวๆหลายคนในที่ทำงานฉันได้ดอกไม้ โห ได้ข่าวว่าดอกไม้แพงน่าดู กุหลาบดอกนึงตั้ง 200 แน่ะ ผู้ชายบางคนนี่เจ้าบุญทุ่มน่าดูเลย

ฉันว่าผู้หญิงคงดีใจที่ได้ดอกไม้นะ มันเหมือนกับว่าตัวเองมีค่าในสายตาของอีกคนนึงเหลือเกิน
ความรักมันก็น่าตื่นเต้นอย่างนี้แหละ มีหวือหวาเป็นครั้งคราว

ในวันนี้เองเราจะสามารถเห็นความสุดโต่งของคนสองกลุ่ม พวกแรกคือคือพวกที่มีความสุขกับวันแห่งความรักนี้ คือ ได้ดอกไม้ ได้ไปดินเนอร์ หรือได้ของขวัญจากแฟน กับคนอีกพวกนึงที่เกลียดวันนี้ เนื่องด้วยเพิ่งจะอกหัก เพิ่งเลิกกับแฟน บางคนแทบอยากจะหลับข้ามวันเลยทีเดียว

สำหรับผู้ซึ่งอยู่กลางๆเช่นฉัน คือไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับวันแห่งความรักนี้ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้คนเราสมมติทึกทักกันเอาเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นวันพ่อ วันแม่ วันครู ฯลฯ ถ้าเราจะแสดงความรักกับใคร อีแค่วันเดียวต่อปีมันไม่เพียงพอหรอก ฉันว่าทำมันทุกโอกาสเท่าที่จะทำได้ดีกว่า

แล้วการที่เราไม่มีแฟน ไม่ได้หมายความว่าเราจะแสดงความรักต่อคนอื่นไม่ได้ซะที่ไหนล่ะ อย่างน้อยๆเราก็รักตัวเรา ครอบครัวเรา เพื่อนฝูง และอื่นๆอีกมากมายได้ ทำไมจะต้องไปทุกข์กับมันด้วย

ฉันเชื่อว่าคนที่มีแฟน เขาก็สุขและทุกข์แบบคนที่มีแฟน คนโสดก็เหมือนกัน แล้วจะไปอิจฉาทำไม ไอ้ความสุขแบบหวือหวาน่ะ มันมาเร็วไปเร็ว ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามันจะอยู่กับเราตลอดไป

การอยู่กับตัวเองให้ได้ มีความสุขกับตัวเองเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เพราะมันเป็นความสุขที่มาจากข้างใน มิใช่เกิดจากปัจจัยภายนอกซึ่งเอาอะไรแน่นอนกับมันไม่ได้เลย

Sunday, February 10, 2008

มาอัพเดตดวงชะตากันหน่อย

เมื่อวานได้ฤกษ์ไปหาหมอพีร์เป็นครั้งที่สอง ซึ่งห่างจากครั้งแรกไปประมาณปีเศษๆ

ที่จริงเมื่อปลายปีก่อนฉันพยายามโทรนัดหมอพีร์ทีนึง แต่ทว่าคิวยาวมาก ต้องรออีกประมาณสองเดือน ฉันเลยยกเลิกความตั้งใจที่จะดู อีกทั้งชีวิตตอนนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหนักหนา พอมาต้นปี จู่ๆฉันนึกอะไรก็ไม่รู้ ลองโทรไปนัดเขาอีกรอบ ฉันบอกว่าเคยพยายามนัดแล้วทีนึงแต่ไม่สำเร็จ เขาเลยให้คิวฉันเป็นอีกสองอาทิตย์หน้า ซึ่งก็ถือว่าเร็วมากๆถ้าเทียบกับตอนโทรมาปกติ

ฉันไปดูกับพี่ชายเจ้าเก่า ตอนนี้หมอพีร์ย้ายบ้านไปอยู่ลาดพร้าว101แล้ว เลยต้องมาคลำทางกันใหม่อีกรอบ บ้านเข้าไปในซอยลึกเหมือนกัน โชคดีที่ฉันถามทางมาก่อน เลยไม่หลง
หมอพีร์บอกว่าฉันดีขึ้น 50% แล้ว ทำให้ฉันรู้สึกมีกำลังใจที่ดีที่จะเปลี่ยนตัวเองต่อไปนะเนี่ย และก็ย้ำให้หาโอกาสทำบุญไปเรื่อยๆ คิดโปรเจ็คใหม่ๆหรือไอเดียอื่นๆในการทำบุญ อีกทั้งให้มีความสุขกับตัวเองมากๆ ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไร คงต้องรอปีหน้าถึงจะมีโอกาสที่ดีในชีวิตมามากขึ้น
การไปหาหมอพีร์ฉันมักจะได้อะไรดีๆกลับมาเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่ฉันไปไม่ใช่แค่เพื่อดูดวงของตัวเองหรอกนะ แต่เป็นการไปเพื่อยอมรับตัวเอง และพร้อมที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ดี ถ้าไม่ได้คุยกับหมอพีร์ ฉันคงไม่มีทางได้รู้จักตัวเองมากเท่านี้
ตอนนี้ฉันเห็นในสิ่งที่แต่ก่อนเราไม่เคยรู้ว่าเราเป็น และพยายามที่จะแก้ไขมันอยู่ มันอาจจะไม่ได้ผลทันทีทันใด แต่ฉันก็รู้สึกได้เลยว่าชีวิตมันดีขึ้นจริงๆ