Monday, December 31, 2007

Welcome Year 2008

ไม่แน่ใจว่าอยู่ที่ไหน แต่ก็สวยดี

ปีนี้ฉันนั่งนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่อย่างปกติที่บ้านที่กรุงเทพ

ย้อนกลับไปสามปีติดกัน ฉันไม่ได้อยู่ที่บ้านฉลองปีใหม่ซักปีเลย ปีที่แล้วฉันไปปฎิบัติธรรมที่ชลบุรี สองปีที่แล้วฉันอยู่กับเพื่อนที่เชียงใหม่ สามปีที่แล้วฉันอยู่ที่เมืองคาสเซิล เยอรมนี นั่งติดตามข่าวสึนามิอย่างตื่นเต้น

ที่จริงฉันไม่ได้เป็นคนประเภทตื่นเต้นกับเทศกาลอะไรเท่าไร สำหรับฉันมันก็แค่อีกหนึ่งวันผ่านไปเท่านั้น บางคนใช้ปีใหม่เป็นเครื่องกระตุ้นที่จะเริ่มต้นทำอะไรซักอย่าง สำหรับฉันแล้ว ถ้าอยากจะเริ่มทำอะไร ไม่ต้องรอให้ถึงปีใหม่หรอก อยากเริ่มก็เริ่มเลย เดี๋ยวไม่ทันการ

ฉันยอบรับว่าปีนี้ในความรู้สึกของฉันผ่านไปค่อนข้างเร็วนะเนี่ย ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี บางครั้งฉันแทบจำไม่ได้ว่ามีอะไรผ่านไปบ้างในแต่ละเดือน รู้สึกเดี๋ยวนี้จะเป็นคนไม่ค่อยอยากจำอะไรเท่าไร ยังดีที่ยังพอหาอ่านจากบล็อกที่ตัวเองเคยเขียนไว้
ฉันว่าหลักๆคือปีนี้ฉันค่อนข้างจะเหนื่อยเรื่องงานเอามากทีเดียว ยังดีที่ไม่มีเรื่องอื่นมากรบกวนจิตใจอีก ฉันว่าคงเป็นเพราะยังรู้สึกว่าตัวเราเองยังจะเอาตัวไม่รอดเลย ขืนเอาเรื่องคนอื่นมาคิดให้รกสมองยิ่งจะทำให้แย่ลงอีก ปัญหาที่ผ่านมาฉันดีใจนะที่ตัวเองสามารถตัดใจได้ทันที รวมทั้งมองอะไรอย่างระมัดระวังมากขึ้น
เรื่องที่ทำฉันลืมไม่ลงในปีนี้คงเป็นเรื่องที่ได้รู้จักกับน้องคนนึง เป็นเรื่องที่บังเอิญสุดๆ ที่จริงมันอาจมีเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เราได้เจอกัน เพียงแต่เป็นเหตุผลที่ฉันหาคำอธิบายไม่ได้ก็เท่านั้น ฉันรู้แต่ว่าการได้เจอกันเป็นผลดีสำหรับฉัน เพราะทำให้ฉันสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างเด็ดขาด
การได้มีโอกาสไปทำบุญในหลายๆที่ หลายๆโอกาส เช่น วัดป่าอัมพวัน วัดพระบาทน้ำพุ บ้านพักคนชรา รวมถึงโครงการที่สังขละบุรี ถือเป็นเรื่องดีในปีนี้ รวมถึงการไปบริจาคเลือดสามครั้งในปีนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีในปีนี้
ชีวิตช่วงครึ่งปีหลังหมดไปกับการหมกมุ่นเรื่องเอเอฟ ตอนแรกฉันไม่คิดที่จะดูเลยนะ เพราะไม่ประทับใจตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว แต่นี่เพราะน้องแจ๊คคนเดียวเลยนะเนี่ย ทำให้ฉันถ่อไปดูคอนเสิร์ทถึงเมืองทองธานีสองอาทิตย์ติด รวมถึงคอนเสิร์ทสุดท้ายที่อินดอร์สเตเดียม หัวหมาก ลามไปถึงมินิคอนเสิร์ทอีกสองครั้ง แต่ฉันสังเกตได้ว่าความรู้สึกของฉันมันเริ่มซาๆแล้วล่ะ เห็นได้จากมินิคอนเสิร์ทล่าสุดที่ไปดูฉันไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร เทียบกับตอนแรกๆที่สนใจ ตอนนั้นติดตามข่าวตลอดเวลา นั่งโหลดคลิปสารพัด เซฟรูปเพียบ ตอนนี้เฉยๆแล้ว จิตใจนเรานี่มันเปลี่ยนง่ายจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนแบบฉัน
ที่จริงฉันว่าการสนใจเอเอฟมันก็มีข้อดีอย่างนึงนะ คือมันทำให้ฉันหายเครียด และก็ได้มีเรื่องคุยกับน้องๆที่ทำงานมากขึ้น รวมถึงการไปดูคอนเสิร์ทร่วมกัน นานๆทีที่จะมีโอกาสได้ทำอะไรบ้าๆแบบนี้นะ
ช่วงใกล้สิ้นปีเป็นช่วงเหนื่อยที่สุด ไม่อยากจะนึกย้อนกลับไปจริงๆ ถ้าลองกลับไปอ่านข้อเขียนช่วงนั้นคงจะเข้าใจความรู้สึกได้ดีกว่า
ปีใหม่ที่จะถึงนี้ ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นที่ฉันจะอายุ 29 แล้ว มีเลขสองนำหน้าเป็นปีสุดท้าย(แล้วไงล่ะ) ทำงานจะครบสามปี บ้านใหม่ก็คงเสร็จสักกลางๆปี หวังเช่นนั้นนะ อยากเข้าไปอยู่เต็มแก่แล้ว
ปีหน้าฉันมีแพลนที่จะไปเที่ยวต่างประเทศสักที่ แต่ยังไม่แน่นอน คิดว่าคงเป็นประเทศในยุโรปซักที่ ฉันหวังว่าปีหน้าฉันคงเหนื่อยน้อยลง และก็มีโอกาสที่ดีเข้ามาในชีวิตบ้าง โอกาสที่ทำให้ฉันได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้รู้สักทีว่าที่จริงแล้วเราอยากทำอะไรกันแน่

Friday, December 28, 2007

ลาทีปีเก่า

เป็นภาพจากเกมส์ สวยดี

วันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของปีแล้ว แม้ว่าฉันจะนั่งอยู่คนเดียวในแผนก แต่ก็ไม่ได้เหงาอะไรเท่าไรนะ ฉันกลับรู้สึกว่ามีสมาธิดีซะอีก

อีกหนึ่งปีกำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว ปีที่ผ่านมานี้ถือเป็นปีที่หนักทีเดียวสำหรับฉัน ลำพังแค่เรื่องงานก็ทำเอาฉันท้อไปหลายรอบเหมือนกัน

แต่เมื่อไรที่ฉันท้อ ฉันพยายามนึกถึงคำพูดของหมอพีร์ที่เตือนให้ฉันอดทนและก็ทำใจกับมัน เพราะ ปีนี้ดวงฉันไม่ค่อยดีเท่าไร

สิ่งที่หมอพีร์เขียนในหนังสือธรรมะออนไลน์ฉบับล่าสุดนี่โดนใจฉันมาก เขาพูดถึงคนที่ขาดความอดทน โลเล ว่าที่จริงเป็นคนที่กลัวความผิดหวัง กลัวผิดพลาด ซึ่งมันคือตัวฉันเองจริงๆ
วิธีที่จะแก้ไขนิสัยเหล่านี้คือต้องหัดเป็นคนแน่วแน่ อย่าโลเล เริ่มจากเรื่องใกล้ๆตัวเช่นว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไร จะไปไหน อย่าไปกลัวความผิดพลาด เพราะสิ่งเหล่านั้นจะสอนให้เราเก่งขึ้น
หัดทำใจให้อภัย ไม่คิดร้าย แล้วเราก็จะสามารถอยู่เหนือดวงได้

ไม่รู้ว่าปีที่ผ่านมาฉันเริ่มๆทำได้บ้างรึยังนะ รู้แต่ว่าฉันพยายามค่อยๆเปลี่ยน บางทีก็ยังมีหลุดๆบ้าง แต่คิดว่าก็ยังไดีกว่าปล่อยนิสัยมันไปตามยถากรรมนะ

ปีหน้าฉันก็คงตั้งหน้าตั้งตาปรับปรุงตัวเองต่อไปอีก ฉันหวังที่จะเห็นตัวเองสามารถเอาชนะกรรมเก่า และสามารถเป็นผู้ที่อยู่เหนือดวงได้

สวัสดีปี 2551

Thursday, December 27, 2007

บริจากเลือดครั้งที่สาม



คราวนี้ฉันไปบริจาคช้ากว่าที่กำหนดไว้ประมาณเดือนกว่าๆเนื่องด้วยเดือนที่แล้วฉันยุ่งเหลือเกิน นอนก็น้อย พอมาช่วงนี้ได้พักผ่อนเต็มที่ ฉันเลยชวนเจ้าแป้งไปบริจาคที่เดิม สภากาชาด ฉันว่าบริจาคช่วงนี้ก็เหมาะดีนะเพราะช่วงปีใหม่โรงพยาบาลมักจะต้องการเลือดกันมาก


คราวนี้ฉันเตรียมตัวไปดีกว่าคราวก่อน ถ้ายังจำได้ คราวที่แล้วเลือดฉันหนืดมากเพราะไปบริจาคตอนเช้า ฉันดื่มน้ำไปไม่พอ คราวนี้ฉันดื่มน้ำตุนไว้เยอะเลย แถมกินข้าวเช้าเต็มที่ เลือดเลยไหลสะดวกดี


คราวนี้มีพิเศษเพิ่มขึ้นมาคือว่าฉันไปลงทะเบียนเป็นผู้บริจาก Stemcell ด้วย เขามีเจาะเลือดเพิ่มอีกสองหลอดเพื่อเอาข้อมูลของฉันเก็บไว้ที่ database เผื่อว่าถ้ามีผู้ป่วยที่เลือดแมชท์กับฉันพอดีก็จะสามารถรับstemcell ของฉันได้ เขาบอกว่าโอกาสมีแค่ 1 ใน 50000 เท่านั้น


ถ้าฉันได้มีโอกาสเป็นผู้บริจาคก็ถือเป็นเรื่องที่วิเศษมากๆในชีวิตทีเดียว

Monday, December 17, 2007

ก่อนจะถึงสิ้นปี



Adventskalender Gengenbach


นับถอยหลังอีกไม่กี่วันก็จะผ่านพ้นปี2550ไปแล้ว ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ว่า ปีๆนึงเนี่ย มันผ่านไปเร็วจริงๆ

ช่วงสองเดือนอันสาหัสของฉันผ่านพ้นไปได้อย่างหืดขึ้นคอเลยทีเดียว ฉันไม่เคยรู้สึกเหนื่อยและเครียดกับงานขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนว่าการเตรียมตัวเตรียมใจของฉันมันยังไม่ดีพอ หลายๆเรื่องที่ทำให้ฉันถึงกับหมดแรง และท้อ เหมือนว่ายิ่งเราตั้งใจมากเท่าไร ความผิดพลาดยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น มันดูไม่สมเหตุสมผลกันเลย

ฉันมองตัวเองจากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น อืม ฉันเองคงเตรียมตัวยังไม่ดีพอจริงๆนั่นแหละ ฉันคงต้องใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่ในอาทิตย์สุดท้ายของปีนี้ ทบทวนหาสาเหตุแล้วก็ลองคิดหาวิธีที่จะทำให้มันดีขึ้น

ขอพักเรื่องงานไว้เท่านี้ก่อน

ช่วงเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองและปาร์ตี้สังสรรค์ ทั้งของที่ทำงานและก็อื่นๆ

เมื่อวานนี้ฉันไปงานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนสมัยประถม-มัธยม ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้อยากไปเท่าไร เพียงแต่ไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอที่จะปฎิเสธก็เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่คนที่มาจะอยู่ห้องอื่นๆที่ไม่ใช่ห้องฉัน เพื่อนร่วมห้องฉันเองมากันน้อยนะ ส่วนใหญ่ฉันจะจำหน้าเพื่อนๆได้ แต่ชื่อนี่นึกไม่ออก ส่วนเพื่อนที่จำฉันได้นี่น้อยเหลือเกิน ก็ตอนเด็กๆฉันออกเป็นคนเงียบๆ เหมือนเป็นมนุษย์ล่องหนในห้อง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย ใครจำได้นี่ก็แปลกแล้วล่ะ เพื่อนหลายๆคนเปลี่ยนไปมาก มีทั้งอ้วนขึ้น ผอมลง สวยขึ้น แต่อีกหลายคนก็ยังเหมือนเดิม บางคนเป็นคุณแม่ลูกสองแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นส่วนน้อยสำหรับคนที่แต่งงานแล้ว

ในงานมีการฉายสไลด์สัมภาษณ์คุณครูหลายๆท่าน ซึ่งครูหลายๆคนเหมือนเดิมมากๆ ครูแอนยังเท่ห์เหมือนเดิมแถมไม่แก่ลงสักนิด

ไม่น่าเชื่อว่าฉันจบออกไปจากโรงเรียน10ปีแล้วนะเนี่ย

แต่ถ้าให้เปรียบเทียบความทรงจำวัยเด็ก สมัยมัธยม สมัยมหาลัย กับสมัยเรียนโท ฉันว่าฉันชอบสมัยเรียนโทมากที่สุดนะ เพราะตอนนั้นฉันรู้ว่าฉันอยากทำอะไร และฉันก็มีอิสระเต็มที่ๆจะทำมัน ฉันว่าฉันมีการพัฒนาทางด้านจิตใจมากที่สุดในตอนนั้น สามารถเอาชนะความกลัวที่มีอยู่มาตั้งแต่เด็กออกไปได้

นี่ถ้าฉันสามารถย้อนเวลากับไปได้ ฉันอยากจะมีนิสัยอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก จะได้ทำอีกไหลายๆสิ่งที่ไม่กล้าทำในตอนนั้น
แต่ตอนนี้คิดไปก็ป่วยการเปล่า ดังนั้นฉันว่าเรามาตั้งเป้าหมายในอนาคตดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจกับอดีต ไว้จะลองคิดดูว่าปีหน้ามีอะไรอีกที่อยากทำ ที่แน่ๆอย่างนึงคือคงได้ไปเที่ยวที่ไหนไกลๆซักที่นะ